“เจิมศักดิ์” รู้ทันเล่ห์รัฐบาลหุ่นเชิดแจก “คูปองคนจน” แค่แผนซื้อเสียงล่วงหน้าเตรียมการรับเลือกตั้งใหม่ เชื่อรัฐบาลรู้สภาพอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แถมยังทำให้เงินเฟ้ออีกเพียบ แนะเอาเงินมาอุดหนุนรถเมล์-ค่าน้ำค่าไฟดีกว่า ขณะที่นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์วิเคราะห์อาการ “หมัก” ท่าทีคุกคามอันตราย แต่น่าสงสารหมดสภาพผู้นำแล้ว
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "รู้ทันประเทศไทย"
เมื่อเวลา 19.30 น.วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชิงสะพานมัฆวานฯ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม.ขึ้นมาดำเนินรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการออกคูปองช่วยคนจนของรัฐบาลตามแนวคิดของนายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลังว่า รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ได้ว่าคนไหนใครคือคนจน เพราะคนเรามีรายได้อยู่หลายประเภท ดังนั้นจะแบ่งอย่างไรว่าใครมีเกณฑ์รายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ตนถามว่าหรือจะให้หัวคะแนนของพรรคการเมืองลงไปบอกหรือชี้เลยคนในพื้นที่คนไหนจนหรือไม่จน และจะมีการบอกว่าให้คนไหนได้หรือไม่ได้คูปอง ซึ่งจะมีปัญหาว่าจะมีการเล่นพรรคเล่นพวก
นายเจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นรัฐบาลต้องกำหนดว่าคูปองดังกล่าวต้องระบุว่าซื้อสินค้าอะไรได้บ้าง หรือจะบอกว่าให้ซื้ออะไรก็ได้แทนเงิน ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหา เพราะอาจจะมีบริษัทหลายบริษัทและค่ายมือถือเข้าร่วมกิจด้วยเพื่อเป็นการระบายสินค้า ดังนั้นรัฐบาลต้องดูว่าคูปองให้ซื้ออะไรได้บ้าง
“ผมถามว่าคูปองนี้จะเอาไปให้ใคร และซื้ออะไรได้บ้างต้องดูตรงนี้ เพราะบางพื้นที่ก็บอกว่าให้ซื้อเฉพาะร้านนี้ร้านเดียว และถ้าร้านนั้นร้านเดียวก็จะขายดีร้านเดียว และถ้าร้านนั้นอาจจะร้านที่สนับสนุนหรือเป็นหัวคะแนนของพรรคการเมืองก็จะได้ประโยชน์”
นายเจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คูปองดังกล่าวปลอมง่ายกว่าธนบัตร เพราะหากจะป้องกันการปลอมต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการป้องกันการปลอมสูงมาก ซึ่งการที่บอกว่าจะแจกให้ประชาชน 10 ล้านคน คนละ 400 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 6-12 เดือน ซึ่งหากแจกจริงจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 4 พันล้านบาท 1 ปีก็ใช้งบ 48,000 ล้านบาท
“ดูแล้วเหมือนกับและไม่ต่างจากการที่ นพ.สุรพงษ์ และนายสมัคร ซ่อนเงื่อน เหมือนกับการพิมพ์เงินแจกเอง 5 หมื่นล้านบาทเพื่อแจกประชาชน ผมจะบอกพี่น้องว่าถ้าเงินมันเพิ่มโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อก็จะเกิด ซึ่งจะหนักหนาสาหัส เงินฟ้อแปลว่าข้าวของจะมีราคาแพง ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะมีการเล่นแร่แปรธาตุ เพราะถ้าหากคูปองอันนั้นแพร่หลาย คนก็จะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ และมันก็จะกลายเป็นธนบัตรประเภทหนึ่ง ดังนั้นตอนนี้บริษัททั้งหลายกำลังตาเป็นมัน และจะขอให้มาซื้อสินค้าของตัวเอง เพราะมีเม็ดเงินถึง 5 หมื่นล้านบาท” นายเจิมศักดิ์ กล่าว
นายเจิมศักดิ์ กล่าวในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ว่า ส่วนเรื่องของเงินเฟ้อตอนนี้อยู่ที่ 7% ในขณะที่ประชาชนมีเงินออมฝากได้ดอกเบี้ย 0.3% แต่สินค้าราคาสูงขึ้นปีละ 7% และอาจจะถึง 10% ดังนั้นเงินที่เก็บก็จะมีค่าเล็กลงทุกวัน และเมื่อรัฐบาลพิมพ์คูปองออกแจก ก็จะเกิดเงินภาวะเงินเฟ้อ และทุกคนในบ้านเมืองจะเดือดร้อน
“เขาบอกว่าเขาจะทำ 6 เดือน หรือ 12 เดือนจะเลิก ให้เดือนละ 400 บาท ผมถามว่าแล้วคนจะหายจนหรือไม่ เพราะคนจนจะคอยแบบมือรอบรับ แล้วรายได้นั้นถ้าเกิดภาวะเงินเฟ้อสินค้าก็จะแพงขึ้น และตอนนั้นเลิกแจกแล้วเงินมันเฟ้อขึ้นมา เขาก็จะหยุดแจกคูปองอย่างนั้นหรือ แต่ผมว่าเขาคิดว่า 6-12 เดือนนี้ เขาต้องคิดว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ จะเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าด้วยเงินของประชาชนเอง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่ายอมให้เขาพิมพ์แบงก์แบบนี้ออกมาใช้หาเสียงล่วงหน้า” นายเจิมศักดิ์ กล่าว
นายเจิมศักดิ์ กล่าวถึงวิธีการแก้ปัญหาความยากจนโดยการนำงบ 5 หมื่นล้านที่จะทำเป็นคูปองมาแจกประชาชนนั้นว่า อันดับแรกขอให้แยกคนจนในเมืองและชนบทออกจากกัน จากนั้นมาแจกแจงว่าคนจนจะไม่มีรถส่วนตัวจะต้องนั่งรถเมล์ ดังนั้นแทนที่รัฐบาลจะปล่อยให้ขึ้นราคาค่ารถเมล์ ก็ขอให้นำธนบัตรที่มีอยู่แล้วไม่ต้องพิมพ์เพิ่มนำไปอุดหนุนค่ารถเมล์ แล้วให้ประชาชนเขาจ่ายค่ารถเมล์เท่าเดิมเพื่อจะได้ลดค่าครองชีพ
นอกจากนี้ คนจนต้องใช้น้ำและไฟฟ้า ขอให้ลดราคาการใช้น้ำและไฟหน่วยแรกๆ เพราะคนจนใช้น้ำและไฟไม่มากเท่าคนมีรายได้สูง เพราะคนเรายิ่งมีรายได้มากยิ่งใช้น้ำ-ไฟเยอะ ซึ่งตนทำงานที่ชนบทมาก่อน ดังนั้นคนจนก็จะไม่มีที่ดินทำกินและไม่มีบ้านต้องอาศัยบ้าน เพราะเขาไม่มีเงินจ่ายค่ามิเตอร์ที่มีหลายพันบาท ก็ขอให้อุดค่ามิเตอร์และเก็บค่าน้ำ-ไฟฯหน่วยแรกๆในราคาพิเศษ
“รัฐบาลนี้อยู่บนหองาช้างไม่เคยรู้ว่าชาวบ้านเขาจนยังไง เพราะดันเอาหมอมาเป็นรัฐมนตรีคลัง เพราะคิดแค่นี้ยังคิดไม่เป็น” นายเจิมศักดิ์ กล่าว
**แฉ “หมัก” มุ่งมั่นสลายม็อบ
จากนั้นเป็นช่วงวิเคราะห์คำพูด ภาษาและท่าทางของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีโดยเชิญนักวิชาการด้านอักษรศาสตร์ คือ นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ มาวิเคราะห์ให้ฟัง กรณีที่ออกทีวีขู่สลายการชุมนุมขั้นแตกหัก เมื่อวันที่ 31 พ.ค. โดยวิเคราะห์คำต่อคำ ซึ่งชี้ชัดว่านายสมัครต้องการสลายการชุมนุม เพียงแต่ใช้คำอื่นที่มีความหมายอย่างเดียวกัน เช่นคำว่า “จะเอาออก รอยแผลเป็นที่สร้างไว้ 7 วันต้องลบออก” สะท้อนคนพูดที่มองว่าการชุมนุมเป็นสิ่งเลวร้าย จึงมุ่งมั่นทำให้ได้ ต้องการเอาออกไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้ พร้อมทั้งยังเปรียบผู้ชุมนุมว่าน่ารังเกียจเหมือนรอยแผลเป็นที่ต้องออกเอาออก
นายอนันต์ ยังวิเคราะห์ถึงคำพุดของนายสมัครที่ว่ามีการเอาผู้ก่อการร้ายเข้าไปสะสมในที่ชุมนุม เพื่อก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก แสดงว่านายสมัครมองการชุมนุมเป็นการก่อการร้าย ซึ่งมีความหมายที่รุนแรงถึงขั้นต้องการทำลายชาติ ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ชุมนุมแค่ต้องการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งทัศนะแบบนายสมัครไม่ควรมีในทัศนะของผู้นำ คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองคือบ้านเมือง
นายอนันต์ ยังวิเคราะห์อีกว่า อาการที่นายสมัครจ้องตาเขม็งกับผู้สื่อข่าวถือว่าเป็นท่าทีคุกคาม เป็นอันตรายกับทุกคน อย่างไรก็ตาม นายสมัครถือเป็นคนที่น่าสงสาร และหมดสภาพความเป็นผู้นำเพราะเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว