“แกนนำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจฯ” จวก รัฐลูกกรอกสุดอำมหิต! ล้มซีแอลยา สร้างปัญหาให้ผู้ป่วย “มะเร็ง-เอดส์” ต้องซื้อยาราคาแพงจากบริษัทข้ามชาติ ทั้งที่ อย.สามารถผลิตเองได้ ยังไม่หนำใจ ล้างบางบอร์ด อย.ขุดตัวแทนบริษัทข้ามชาตินั่งกันให้สลอน
วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น.นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และแกนนำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ปัจจุบันยารักษาโรคเอดส์ มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต แพงมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำซีแอลยา เพื่อให้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเหล่านี้ได้เอง โดยไม่ขัดกับสิทธิบัตรยาของบริษัทยาข้ามชาติ แม้แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ความเป็นจริงบางส่วนที่อาจจะได้ประโยชน์กับยาราคาแพงได้ แต่ส่วนน้อย
“ความจริงต้องยอมรับว่า วันนี้ มันมีปัญหา เมื่อยาเราสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูก แต่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เข้ามาใหม่ๆ ก็จะประกาศยกเลิกซีแอลยา ก็เท่ากับองค์การเภสัชฯ ผลิตยาราคาถูกต่อไม่ได้ และบริษัทยาที่องค์การเภสัชฯไปต่อราคาจากเม็ดละเป็นหมื่น เหลือพันกว่าบาท แต่ตอนนี้บริษัทยาเหล่านั้นไม่เอาด้วยแล้ว เพราะนโยบายเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยที่กำลังรอรักษาพยาบาลขณะนี้ เนื่องจากยามีระยะเวลาจำกัดว่าจะใช้ภายในกี่วัน พอมีปัญหาทบทวนซีแอล บริษัทก็หยุดส่งยา ทั้งที่ยาเหล่านี้ต้องกินต่อเนื่อง และไม่ผลิตด้วย นี่คือความโหดเหี้ยมอำมหิต” นายสาวิทย์ กล่าว
นายสาวิทย์ กล่าวต่อว่า แล้วในที่สุดวันนี้ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชฯ ที่เข้าใจเรื่องยามากที่สุด เคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อรักษาคุณภาพชีวิต กลับถูกปลด แล้วมีการตั้งบอร์ดใหม่มีตัวแทนของบริษัทยาข้ามชาติไปด้วย
นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำสหภาพรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฯ กล่าวเสริมว่า แม้แต่เลขา อย.ก็ถูกปลด นี่คือ สิ่งที่นักการเมืองทำ คนที่ทำงานรับใช้ชาติสังคม ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของสังคม สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ถูกปลดออกหมด
นอกจากนั้น นายสาวิทย์ ยังกล่าวถึงเรื่องนโยบายการทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่น ที่ทำมาตั้งแต่สมัยทักษิณ ว่า เอฟทีเอดังกล่าวมีเงื่อนไขหนึ่ง คือ เรื่องสาธารณสุข ที่เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นเข้ามาใช้สาธารณสุขได้เช่นเดียวกับคนไทย ซึ่งทุกวันนี้มีเยอะมาก นี่เป็นข้อมูลแพทย์ในเมืองไทยที่ผลิตมาประมาณ 24,000 คน ทั่วประเทศต้องดูแลคนทั้ง 63 ล้านคน แต่หลังจากรัฐบาลทักษิณมีนโยบายเอฟทีเอ ไปดูเถอะ รพ.เอกชน ตอนนี้ต่างชาติซื้อไปแทบหมดแล้ว ค่ารักษาแพง คนญี่ปุ่นมีกำลังทรัพย์มากกว่า ก็หันไปใช้บริการ ขณะที่หมอหลายคนก็หันไปทำงาน รพ.เอกชนกันมาก ส่วนคนไทย เดี๋ยวนี้ไปโรงพยาบาลรัฐเวลาปกติไม่เจอหมอ ต้องไปเวลาเย็นคลินิกพิเศษแทน ซึ่งมีราคาแพงไม่ต่างจาก รพ.เอกชน
นายสาวิทย์ กล่าวด้วยว่า มันมีความลึกอย่างมากมายที่สังคมไทยต้องตั้งคำถาม ฉะนั้น เวทีพันธมิตรฯ ในเชิงลึกต้องขุดคุ้ยออกมาว่าทำไมเราถึงต่อต้านระบบทักษิณ ทำไมเราถึงไม่พอใจคุณสมัคร เพราะคุณสมัคร สืบทอดระบบทักษิณ นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องมานั่งทำความเข้าใจกับสังคม
วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น.นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และแกนนำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ปัจจุบันยารักษาโรคเอดส์ มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต แพงมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำซีแอลยา เพื่อให้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเหล่านี้ได้เอง โดยไม่ขัดกับสิทธิบัตรยาของบริษัทยาข้ามชาติ แม้แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ความเป็นจริงบางส่วนที่อาจจะได้ประโยชน์กับยาราคาแพงได้ แต่ส่วนน้อย
“ความจริงต้องยอมรับว่า วันนี้ มันมีปัญหา เมื่อยาเราสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูก แต่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เข้ามาใหม่ๆ ก็จะประกาศยกเลิกซีแอลยา ก็เท่ากับองค์การเภสัชฯ ผลิตยาราคาถูกต่อไม่ได้ และบริษัทยาที่องค์การเภสัชฯไปต่อราคาจากเม็ดละเป็นหมื่น เหลือพันกว่าบาท แต่ตอนนี้บริษัทยาเหล่านั้นไม่เอาด้วยแล้ว เพราะนโยบายเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยที่กำลังรอรักษาพยาบาลขณะนี้ เนื่องจากยามีระยะเวลาจำกัดว่าจะใช้ภายในกี่วัน พอมีปัญหาทบทวนซีแอล บริษัทก็หยุดส่งยา ทั้งที่ยาเหล่านี้ต้องกินต่อเนื่อง และไม่ผลิตด้วย นี่คือความโหดเหี้ยมอำมหิต” นายสาวิทย์ กล่าว
นายสาวิทย์ กล่าวต่อว่า แล้วในที่สุดวันนี้ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชฯ ที่เข้าใจเรื่องยามากที่สุด เคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อรักษาคุณภาพชีวิต กลับถูกปลด แล้วมีการตั้งบอร์ดใหม่มีตัวแทนของบริษัทยาข้ามชาติไปด้วย
นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำสหภาพรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฯ กล่าวเสริมว่า แม้แต่เลขา อย.ก็ถูกปลด นี่คือ สิ่งที่นักการเมืองทำ คนที่ทำงานรับใช้ชาติสังคม ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของสังคม สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ถูกปลดออกหมด
นอกจากนั้น นายสาวิทย์ ยังกล่าวถึงเรื่องนโยบายการทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่น ที่ทำมาตั้งแต่สมัยทักษิณ ว่า เอฟทีเอดังกล่าวมีเงื่อนไขหนึ่ง คือ เรื่องสาธารณสุข ที่เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นเข้ามาใช้สาธารณสุขได้เช่นเดียวกับคนไทย ซึ่งทุกวันนี้มีเยอะมาก นี่เป็นข้อมูลแพทย์ในเมืองไทยที่ผลิตมาประมาณ 24,000 คน ทั่วประเทศต้องดูแลคนทั้ง 63 ล้านคน แต่หลังจากรัฐบาลทักษิณมีนโยบายเอฟทีเอ ไปดูเถอะ รพ.เอกชน ตอนนี้ต่างชาติซื้อไปแทบหมดแล้ว ค่ารักษาแพง คนญี่ปุ่นมีกำลังทรัพย์มากกว่า ก็หันไปใช้บริการ ขณะที่หมอหลายคนก็หันไปทำงาน รพ.เอกชนกันมาก ส่วนคนไทย เดี๋ยวนี้ไปโรงพยาบาลรัฐเวลาปกติไม่เจอหมอ ต้องไปเวลาเย็นคลินิกพิเศษแทน ซึ่งมีราคาแพงไม่ต่างจาก รพ.เอกชน
นายสาวิทย์ กล่าวด้วยว่า มันมีความลึกอย่างมากมายที่สังคมไทยต้องตั้งคำถาม ฉะนั้น เวทีพันธมิตรฯ ในเชิงลึกต้องขุดคุ้ยออกมาว่าทำไมเราถึงต่อต้านระบบทักษิณ ทำไมเราถึงไม่พอใจคุณสมัคร เพราะคุณสมัคร สืบทอดระบบทักษิณ นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องมานั่งทำความเข้าใจกับสังคม