“หมอเกรียงศักดิ์” ปลื้มน้ำใจชาวพันธมิตรฯ แพทย์-พยาบาลพร้อมใจดูและพี่น้อง หากรัฐบาลเข้าสลายม็อบ ต่างกับรัฐบาล “สมัคร” ที่ไม่มีแม้แต่รถพยาบาลสักคัน เปรียบการขึ้นราคาน้ำตาลกับการใช้ซีแอลยา บอกชัดรัฐบาลไม่เหลียวแลประชาชน เผยโรคหลอดเลือกหัวใจตีบตันเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ต้องใช้เงินซื้อยาถึง 70 บาทต่อเม็ด สูญเงิน 210 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากใช้ ซีแอลยา ประชาชนซื้อยาได้แค่เม็ดละบาทเท่านั้น ขณะเดียวกัน เปรียบรัฐบาลนี้ เป็น “เชื้อมะเร็งระบอบทักษิณ” ที่กัดกินประเทศชาติ ปลุกใจพันธมิตรฯ ยืนหยัดต่อสู้เพื่อหยุดโรคร้ายนี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายแพทย์เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา ปราศรัย
วันนี้ (2 มิ.ย.) เวลาประมาณ 22.11 น. นายแพทย์เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สงขลา อดีตอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ขึ้นกล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องคงจะจำได้ดีว่าเหตุกการณ์ในวันนั้นตรึงเครียดมากแค่ไหน ซึ่งในวันนั้นเองผมมีทั้งความประทับใจและความเศร้ามาเล่าให้ฟัง
เรื่องที่น่าประทับใจ คือ หลังจากเราขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เพื่อประกาศขอบริจาคยา เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ เพื่อนำมาเตรียมไว้สำหรับดูแลพ่อแม่พี่น้อง หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลจะเข้ามาสลายม๊อบ หลังจากนั้นไม่ถึง 5 นาที ทั้งยา เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ เครื่องป้องกัน ก็หลั่งไหลมาทันที และที่สำคัฐที่สุด มีทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครมาช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นการเดินมาที่ถูกทาง โดยไม่ใช่การถูกจูงจมูกอย่างที่เขาว่าเราเอาไว้
แต่ข่าวร้าย คือ หากรัฐบาลจะเข้ามาสลายม็อบจริง แน่นอนว่าเขาต้องรู้ว่าจะต้องมีคนบาดเจ็บ แต่รัฐบาลกลับไม่คำนึกถึงเรื่องนี้เลย เพราะไม่มีแม้กระทั้งการเตรียมแพทย์หรือเครื่องมือพยาบาลเลย รัฐบาลทำเหมือนพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่อยู่ที่นี้ไม่ใช่คนไทย ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงไม่สมควรอยู่เป็นรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว
“รัฐบาลไม่มีการเตรียมการเรื่องนี้เลย รถฉุกเฉินสักคันก็ไม่มี มีแต่เราเองเท่านั้นที่ต้องเตรียมเอาไว้ แต่ที่น่าสงสารมากไปกว่านั้นคือ ตำรวจเองก็ยังไม่มีหน่วยพยาบาลมาดูแลเลย นี้แหละคือโฉมหน้าที่แท้จริงของรัฐบาลสมัคร ซึ่งเราไม่ควรไว้วางใจอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด เราก็เป็นคนไทยที่เสียภาษีคนหนึ่งที่จ้างเขามาบริหารประเทศ แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับเราสิครับพี่น้อง”
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะพูด รัฐบาลนี้ประกาศขึ้นราคาน้ำตาลไปกิโลกรัมละ 5 บาท...แต่ในวงการแพทย์รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญเลย ในช่วงที่ผ่านมา มีนายแพทย์ 2 ท่านพยายามต่อสู้ในเรื่องของการใช้ซีแอลยา หรือ การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ ท่านแรก นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และท่านที่สอง นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม ทั้งสองท่านเรียกร้องการใช้ ซีแอลยา เพื่อต้องการให้คนไทยได้ใช้ยาในราคาถูก แต่กลับไม่ได้รับความสนใจเลย
“พี่น้องทราบไหมครับว่า สาเหตุการตายของคนไทย อันดับ 1 คือ โรคหลอดเลือกหัวใจตีบตัน ซึ่งคนในจำนวน 1 แสนคน เป็นโรคนี้ถึง 350 คน และใน 1 ล้านคนเป็นโรคนี้ 3,500 คน และคนอีก 2 แสนคนในจำนวนคนไทยทั้งประเทศที่เป็นโรคนี้... ถ้าคนที่เป็นโรคนี้สัก 1 แสนคนจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาโรคนี้ ต้องใช้เงินซื้อถึงเม็ดละ 70 กว่าบาท แต่ถ้าเราใช้ ซีแอลยา จะทำให้เราสามารถซื้อยานี้ได้เพียงราคา 1 บาทกว่าๆ เท่านั้นเอง...และหากลองคำนวนดูว่าคน 1 แสนคนใช้ยานี้วันละเม็ด เราต้องใช้เงินซื้อถึงวันละ 7 ล้านบาท และถ้าคิดต้อเดือนต้องใช้เงินซื้อถึงเดือนละกว่า 210 ล้านบาท แล้วถ้าต่อปีไม่ต้องคิดเลยว่าเราต้องใช้เงินไปมากแค่ไหน...เรื่องนี้ต่างกับราคาน้ำตาล ที่รัฐบาลขึ้นราคากิโลกรัมละ 5 บาท ทีน้ำตาล 1 กิโลกรัม อย่างน้อย เราใช้ได้ถึง 1 อาทิตย์”
นายแพทย์เกรียงศักดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า มีคนบอกว่าเขาถอยแล้ว แต่ทำไมเราถึงปักหลักต่อสู้อยู่ตรงนี้ ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ถอยไปไหน รัฐบาลนี้เขาเป็นเหมือนโรคมะเร็งที่คอยทำลายชาติ ซึ่งโรคมะเร็งนี้มีชื่อว่า เชื้อมะเร็งระบอบทักษิณ ที่กัดกินและแทะไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของประเทศไทย ซึ่งการที่เราออกมาสู้ในครั้งนี้ ทำให้เชื้อมะเร็งระบอบทักษิณหลับไปเท่านั้น เพราะถ้าเราหยุดเมื่อไหร่มันก็จะลามต่อ
“การต่อสู้ของเราในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการหยุดการลุกลามของเชื้อนี้แล้วยังเป็นหน้าที่ของเราในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราด้วย ดังนั้น ผมอยากให้พี่น้องทุกคน ยืนหยัดสู้เพื่อชาติต่อไป”