“สนธิ” อัดยับ “เป็ดเหลิม” ปากพล่อยดันทะลึ่งพาดพิง “ผ้าพันคอสีฟ้า” แจงชัดเป็นของพระราชทานจากพระราชินี หยันได้ด็อกเตอร์แต่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ท้าสอบวัดคะแนน ชี้หากทำไม่ได้ถือว่าโกงปริญญา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (1 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัย โดยกล่าวถึงอาการป่วยว่าถึงตนลุกไม่ได้ก็ต้องมาให้พ่อแม่พี่น้องได้เห็นหน้า ตอนนี้อาการหนักมากๆ เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ และสิ่งที่จะพูดในวันนี้คือ ถ้าเราแพ้ในวันนี้ เราจะไม่มีประเทศไทยที่เราเคยเห็นมาก่อน มันจะเปลี่ยนไปหมดนับจากนี้ไม่เกิน 20 ปี ดังนั้นจึงขอให้จำคำพูดคำสอนที่ว่า กรรมส่อเจตนา โดยดูจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเจตนาเขาเป็นอย่างไร และไม่อยากพูดถึง ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งไร้ราคา โดยเมื่อวานนี้เขาพูดพาดพิงถึงผ้าพันคอสีฟ้าของตน รวมทั้งหมวกคาวบอยที่ตนใส่นั้นว่าแอ็กอาร์ตนั้น ใส่มาตั้งแต่การชุมนุมตอนที่ไปหน้าสถานทูตสิงคโปร์
“ส่วนผ้าพันคอสีฟ้านั้น เป็นผ้าพันคอพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 12 ส.ค.2549 คุณเฉลิมจะพูดอะไรควรระวังปากด้วย อย่าทะลึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าจบด็อกเตอร์มาได้อย่างไร เพราะการที่จะจบด็อกเตอร์นั้น คะแนนสอบภาษาอังกฤษต้องเกิน 650 คะแนน แต่คุณเฉลิมพูดภาษาอังกฤษได้แค่ 2 คำ คือ เยส กับ โน จึงขอให้มาสอบภาษาอังกฤษ ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ถือว่าโกงมา” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ปัญหาหลักก็ยังอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะกรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา โดยจะเห็นได้จากวันที่ศาลพิพากษาคดียุบพรรคไทยรักไทย โดยคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า พรรคไทยรักไทยเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมาพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงเกิดพรรคพลังประชาชนขึ้นมา ซึ่งก็คือพรรคไทยรักไทยแปลงชื่อมา ตอนนั้นทุกคนก็ออกมาปฏิเสธ หลังจากนั้นนายวีระได้ไปยื่นให้ตรวจสอบพรรคดังกล่าวต่อ กกต.ว่าเป็นนอมินีหรือไม่ ซึ่ง กกต.จำนนต่อหลักฐาน โดยมีมติว่าเป็นนอมินีจริง แต่ไม่มีกฎหมายลงโทษ ฉะนั้นพรรคพลังประชาชนจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ เขายังไปใช้นักวิชาการที่ด้อยปัญญาที่มองปัญหาชาติบ้านเมืองไปตามสายตาตะวันตก ซึ่งมองว่าสถาบันกษัตริย์นั้นไม่ใช่สถาบันที่พัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งอาจารย์บางคนรับเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ สอนอยู่ที่ทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย ซึ่งมีบางคนอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ที่จาบจ้วงสถาบัน อีกทั้งเขายังไปใช้ฝ่ายกุ๊ยซึ่งก็คือ ขบวนการคนวันเสาร์ไม่เอาเด็จการ และ นปก. คนพวกนี้ไปรับเงินรับทองมา แล้วเอาไปจ้างลูกจ้างแถวโรงงาน 300-500 บาท รวมทั้งข้าวกล่องซึ่งเขาสั่งเพียงข้าวกะเพรา แต่เรามีทั้งกระเพาะปลา ข้าวต้ม และข้าวมันไก่ ดังนั้น เขาจึงเป็นขบวนการจัดตั้ง ซึ่งบังเอิญเขาโชคร้าย เพราะพวกเราเป็นพวกรักสงบ
นายสนธิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีการไปซื้อคนในรัฐบาลและนายทหารบางคนที่ออกมาพูดว่าให้สมานฉันท์กัน ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความพร้อมที่จะทำการเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ออกมาชม พล.อ.สุรยุทธ์ ระหว่างนั้นกระบวนการโจมตีสถาบันก็เริ่มขึ้น โดยนายจักรภพก็เริ่มออกไปเที่ยวพูดที่โน่นที่นี่ ใส่ร้าย กล่าวโทษสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นตัวการที่ทำให้เมืองไทยไม่ก้าวหน้า ซึ่งมีหลักฐานอยู่ทั้งหมด