“น้องเขยแม้ว” อ้างรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ก็ต้องแก้ไข ยืนยันไม่ได้ฟอกใคร ป้อง “ชัย” เมื่อญัตติเข้าสภาก็ต้องเดินหน้าตามกลไก ถ้าจะถอนต้องถามคนยื่นก่อน พูดทะแม่งลงประชามติไม่มีกฎหมายรองรับใช้เวลาอีกหลายเดือน ปัดแผนล้ม “หมัก” เมินพันธมิตรฯ ชุมนุมชี้เป็นสิทธิทำได้
วันนี้ (23 พ.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการคัดค้านกันมากว่า เป็นธรรมดาที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละคน แต่คนที่เขาต้องการแก้ไขก็บอกว่ามันก็เป็นสิทธิของเขาที่สามารถทำได้ตามกฎหมายเช่นกัน และเรื่องนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ก็บอกแล้วว่าจะให้มีการทำประชามติ ซึ่งก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ส่วนที่มองกันว่ารัฐบาลทำผิดขั้นตอน เพราะควรจะมีการทำประชามติก่อนยื่นต่อสภา ไม่ใช่ยื่นแล้วค่อยมาทำประชามติ นายสมชาย กล่าวว่า จริงๆ ตนเคยพูดไปแล้วว่าการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นในกฎหมายไม่มีเขียนไว้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ต้องเข้าไปใช้เสียงในสภาพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการทำประชามติไม่มีกฎหมายรองรับจะสามารถทำได้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะถ้าคิดว่าจะทำประชามติก็ต้องรอให้ออกกฎหมายมาก่อน อย่างที่ทาง กกต.ได้บอกไว้ว่าจะเร่งทำกฎหมายประชามติออกมาเพราะถือเป็นหน้าที่ของ กกต.
เมื่อถามว่ารัฐบาลในฐานะที่เป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่างไร นายสมชาย กล่าวว่า อย่างที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการทำประชามติก่อนก็ถือเป็นทางหนึ่ง ส่วนในเรื่องของการดูแลความสงบเรียบร้อยนั้น รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
“ผมคิดว่าความสงบหรือไม่สงบนั้นความจริงรัฐบาลไม่มีสิทธิปฏิเสธความรับผิดชอบทุกส่วนในบ้านเมืองอยู่แล้ว แต่บ้านเมืองจะสงบหรือไม่สงบมันก็ขึ้นอยู่กับคนที่ดำเนินการให้ไม่สงบหรือให้สงบมากกว่า ก็ต้องช่วยกันเพราะคนไทยด้วยกัน ถ้าอะไรที่เป็นเรื่องของการมีเหตุผลและทำให้เรียบร้อยก็ต้องใช้เหตุผล การแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้ามองโดยปกติทั่วไปไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เสียความมั่นคงหรือไม่ใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยเลย เพราะมันมีเหตุผลในการทำหรือไม่ทำอยู่แล้ว ขอให้เดินตามเหตุตามผล ตามกติกาก็แล้วกัน และหากมีใครที่มาก่อความไม่สงบโดยไม่มีเหตุผลและผิดกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแล แต่ไม่ใช่การไปรังแกใคร เพราะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งก็ต้องช่วยกันดู และคนที่ออกมาพูดในขณะนี้ทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่และผมเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีเหตุมีผล และมีวิจารณาณว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้บ้านเมืองสงบหรือไม่สงบ” นายสมชาย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนในรัฐบาลเองจะมีปัญหาไม่เข้าใจกันในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ และส.ส.รัฐบาล นายสมชาย กล่าวว่า คนมันเยอะก็อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องใช้เหตุผลกัน บ้านเมืองต้องเป็นใหญ่
เมื่อถามว่ามีข่าวว่า มีแผนที่จะล้มนายกฯ สมัครด้วย นายสมชาย กล่าวว่า ในพรรครัฐบาลไม่มี ส่วนประธานสภานั้นต้องเห็นใจท่านเพราะการเสนอกฎหมายอะไรเข้าไปในสภา โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ เมื่อบรรจุเข้าไปแล้วกลไกก็ต้องเดินตามกฎหมาย คงไม่ใช่เรื่องของการที่จะล้มนายกฯ แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่ประธานสภาต้องปฏิบัติอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าความจริงสามารถถอนญัตติออกมาก่อนแล้วทำประชามติ น่าจะทำได้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ก็ทำได้ แต่มันอยู่ที่ตัวคนยื่นว่าจะเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ จะชุมนุมประท้วง นายสมชาย กล่าวว่า ก็ชุมนุมได้ เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย ถ้าปราศจากอาวุธและชุมนุมโดยสงบ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลประกอบการพิจารณาของทางสภามากกว่า เพราะรัฐธรรมนูญแก้ได้หรือไม่อยู่ที่มือ 316 มือในสภา เมื่อถามว่ารัฐบาลยังมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ใช่หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า สถานการณ์ ถ้าเขาทำอย่างนั้นไม่ต้องไปควบคุมอะไรหรอก เขาชุมนุมโดยสงบ โดยเปิดเผย ปราศจากอาวุธ เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตก็คงไม่ต้องควบคุมอะไร เพียงแต่ถ้าใครทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายก็ต้องว่าไป ไม่ต้องไปลงไม้ลงมืออะไรหรอก กลไกของบ้านเมืองมีทุกอย่าง กระบวนกรยุติธรรมมีอยู่
นายสมชาย กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญฟอกใครไม่ได้ ตัวรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ ว่าแก้ได้ คนเขียนคงเป็น ส.ส.ร.ชุดที่ผ่านมา ถ้าไม่ให้แก้ก็ต้องบอกว่าแก้ไม่ได้ ในเมื่อมีช่องทางอย่างนั้น คนที่เขาทำก็บอกว่า เขาทำตามกฎหมาย ฉะนั้นตนคิดว่าเรื่องนี้ขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างเป็นธรรม มีเหตุมีผลกับทุกฝ่าย โดยปกติรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็บอกให้แก้ได้ ซึ่งตนเห็นว่าอันนี้ก็เป็นช่องทางในการแก้ และที่ดีที่สุดถ้าไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ ก็ให้ไปล็อบบี้ ส.ส. ในสภา แต่การออกมาเรียกร้องก็เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ขอให้เป็นไปตามกลไกกฎหมาย ทั้งนี้เราเข้าใจว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่บ้านเมืองเรามีกลไกกฎหมายเป็นเครื่องกำกับ
