“สมชาย” ไม่ยี่หระผลโพล ปชช.กว่าร้อยละ 60 เชื่อจะมีการปฏิวัติซ้ำ เย้ยแค่ความเห็นคนบางกลุ่ม โอ้อวดผลชนะเลือกตั้งเป็นดัชนีชีวัดคนส่วนใหญ่ เมินกระแสตะเพิดหมัก-เหลิม-เพ็ญ พ้นตำแหน่ง ขึงขังแก้ รธน.เป็นไปตามกฎกติกา ปัดสวะพ้นตัวโบ้ยเป็นหน้าที่ส.ส.
วันนี้ (22 พ.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงผลสำรวจเอแบคโพลล์ ที่ออกมาระบุว่า ประชาชนกว่า 60% เชื่อจะมีการปฏิวัติ ว่า ไม่รู้ ประเทศเราเดินทางมายาวนานมาก ผ่านอุปสรรคปัญหามาก็มาก บทเรียนเรื่องการเมือง เรื่องการปกครองก็ผ่านมาเยอะ คิดว่า ทุกคนคงจะมีวิจารณญาณได้ว่า เราควรจะเดินไปทางไหน คงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ตามโพลที่ทำมา เพราะโพลคงถามคนไม่กี่คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มันสะท้อนอะไรไม่ได้เลยหรือว่า บ้านเมืองอยู่ในสภาวะแบบไหน นายสมชาย กล่าวว่า มันสะท้อนอย่างไร ตอนนี้ตนบอกแล้วว่าเรามีความนิยมและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยใช่ไหม คิดว่า คนไทยทุกคนยอยากเป็นประชาธิปไตย ที่ผ่านมา ก็เห็นมีการเลือกตั้ง และแม้รัฐบาลนี้เพิ่มเข้ามาได้ 2-3 เดือน อาจจะดูเหมือนล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่มันคงไม่มีวิถีทางอื่น หากทุกคนรักบ้านเมืองก็ช่วยกันสนับสนุนในทางที่ทำให้บ้านเมืองเดินทางไปด้วยความเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน
เมื่อถามว่า ผลสำรวจที่ออกมาก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนอยู่ในภาวะที่ไม่เชื่อมั่น รัฐบาลจะมีอะไรส่งสัญญาณให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า จริงๆแล้วตนอยากจะบอกว่า มันไม่มีรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งที่สามารถจะทำอะไรได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ คือ ไม่สามารถเนรมิตอะไรได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยรัฐบาลชุดนี้ก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ตนคิดว่าหากเปรียบเทียบด้วยความเป็นธรรมว่าช่วงนี้โอเคอาจจะมีข่าวไม่ประสบความสำเร็จด้านนั้นด้านนี้ แต่ถ้าเปรียบเทียบรัฐบาลนี้กับรัฐบาลที่ผ่านๆ มาหลายรัฐบาล ในความรู้สึกของตนไม่มีอะไรที่เรานิ่งดูดาย หรือทอดทิ้งประชาชน เรื่องการสำรวจเป็นเรื่องของสถิติหรือเป็นศาสตร์ของผู้ที่ทำงานด้านนี้ บางครั้งไม่ได้ถูก 100 เปอร์เซ็นต์
เมื่อถามว่า ผลโพลยังระบุว่าการปรับคณะรัฐมนตรีควรจะปรับ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นตำแหน่ง เป็นการสะท้อนอะไรหรือไม่ นายสมชาย หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า โพลล์การถามทุกคนแสดงความเห็นได้ แต่อย่างที่บอกคงไปถามนทั้ง 63 ล้านคนไม่ได้ แต่สิ่งที่ถาม 63 ล้านคนได้ คือ การเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า ประเด็นสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุดนายกฯจะทำประชามติถือเป็นทางออกที่ดีแล้วใช่ไหม นายสมชาย กล่าวว่า ก็ดี หลายก็เรียกร้องอยู่ว่าถามประชาชนดีไหม ซึ่งการที่นายกฯมีความเห็นอย่างนั้นก็สอดคล้องกับความคิดหลายๆคน หลายๆฝ่าย
เมื่อถามว่า ตกลงจุดยืนของรัฐบาลอยู่ตรงไหน กลับลำรายสัปดาห์ จนเกิดความสับสน นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ใช่จุดยืนของรัฐบาล เรื่องแก้รัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไปตามกติกาที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างคราวนี้รัฐบาลบอกแล้วว่าไม่เป็นเจ้าภาพในการแก้ ไม่ได้ลงไปคลุกคลี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ส.ส.ซึ่งไม่ได้มีพรรคเดียว บางพรรคเห็นด้วยให้แก้ไข แต่บางพรรคก็ไม่เห็นด้วย แต่กติกาก็อยู่ในรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า ส.ส.จำนวนกี่คนทำอะไรได้ รัฐบาลอยากทำงาน ความเห็นที่ให้ไปอย่างนั้นอย่างนี้นะให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไปหมกมุ่นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ทำงานนั้นก็ไม่ใช่ ฉะนั้นจุดยืนของรัฐบาลคือเรื่องทำงานตามนโยบายเพื่อประชาชน
เมื่อถามว่า การตั้งคำถามที่ว่าแก้หรือไม่แก้จะจะเพียงพอต่อการทำประชามติหรือไม่ เพราะบางคนอาจเห็นด้วยว่าแก้แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของรัฐบาล นาย สมชาย กล่าว่า ตนว่าสื่อควรจะช่วยนำว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร เมื่อถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ค่อยรับฟังใครคำแนะนำ แถมยังตอกกลับหน้าหงายอีก นายสมชาย กล่าวว่า แนะนำมาสิ อะไรที่ดีก็ฟังอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่สุดท้ายสภาฯว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น เมื่อถามว่า รัฐบาลถูกมองว่าดื้อ สังคมเสนอทางออกที่ประนีประนอม แต่รัฐบาลไม่เลือกใช้ นายสมชาย กล่าวว่า ถึงบอกว่าคนทุกคนไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน แต่สุดท้ายอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
เมื่อถามว่า วันสุดท้ายที่ผลประมติชี้มา ทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายหนุนควรจะยอมรับหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า คิดว่า ผลประชาชมติออกมาก็คือประชามติทั่งประเทศทุกคนต้องยอมรับ เมื่อถามว่า การที่นายกฯกำหนดว่าต้นเดือนกรกฎาคมจะให้ประชาชนลงคะแนนประชามติในขณะที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งส่งสัญญาณว่าไม่น่าจะทันเป็นการเร่งรัดเกินไปหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ถ้าจะทำกันจริงคงเป็นหน้าที่ของผู้ดำเนินการ ไม่ใช่มาตัดสินตอนนี้ว่าทำไม่ได้