อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ แถลงประจานความด่างพร้อย “ชัย ชิดชอบ” ระบุ ขาดความสง่างาม หลังถูกดำเนินคดีรุกที่ดินรถไฟ แถมพูดบิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างได้เป็นประธานสภา เพราะคุณความดี ซ้ำอาจโยงเรื่องอื้อฉาวทุบสิ่งศักดิ์สิทธิ์พนมรุ้งในวันวิสาขบูชา
วันนี้ (21 พ.ค.) เวลาประมาณ 12.00 น.นายประเสริฐ เลิศยะโส อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย (ปี 2518) ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ได้แถลงข่าวเรื่อง ความด่างพร้อยของ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร รายละเอียดดังนี้
“เรียนพี่น้องประชาชนชาวไทยผ่านสื่อมวลชนผู้ผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในสังคม
นับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากปี พ.ศ.2475 ถึงปัจจุบันกาล กล่าวได้ว่า ไม่มียุคสมัยใดที่สภาผู้แทนราษฎรของไทย จะมีภาพพจน์มัวหมองเท่ายุคนี้ นับเนื่องจากที่ กกต.ปล่อยให้ นายยงยุทธ ติยะไพรัช มีโอกาสได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 23 ทั้งๆ ที่มีข้อกล่าว และหลักฐานน่าเชื่อได้ว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เห็นได้จากต่อมา กกต.ได้ชี้มูลความผิดและส่งสำนวนคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ทำให้ นายยงยุทธ ตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงสปิริต หรือเพราะว่าเสร็จภารกิจในการรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็สุดแท้แต่วิจารณญาณ
ในระหว่างที่ยังไม่มีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้กล่าวคำว่า “ถ่อย” ในการอภิปรายโจมตี ส.ส.ฝ่ายตรงข้าม พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธาน ก็ได้อวดภูมิปัญญาด้านภาษาศาสตร์ โดยวินิจฉัยว่า “ถ่อย” ไมใช่คำไม่สุภาพ เพราะเป็นคำวิเศษณ์ที่อยู่ในพจนานุกรม แปลว่าไม่ดี ไม่งาม และผู้อภิปรายไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แม้ในที่สุดผู้อภิปรายจะยอมถอนคำพูด แต่ก็กลายเป็นการจุดชนวนให้ นายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคพลังประชาชน ก่อเหตุอัปยศที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยการใช้ถ้อยคำหยาบช้าด่าทอ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะทำร้ายโดยการถีบนายสมเกียรติต่อหน้า ส.ส.จำนวนมาก
มิพักต้องกล่าวถึงกรณีที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ได้อวดภูมิปัญญาด้านภาษาศาสตร์อีกครั้งในขณะทำหน้าที่ประธาน โดยวินิจฉัยว่าการอภิปรายของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่กล่าวคำว่า “หน้าตัวเมีย” ว่าไม่เสียหายแต่อย่างใด
จนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ได้มีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ผลปรากฏว่า นายชัย ชิดชอบ ได้รับเลือกตามความคาดหมายและความประสงค์ที่มองไม่เห็น ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันว่า นายชัย ชิดชอบ มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องหาในคดีละเมิดทรัพย์ของแผ่นดินหลายคดี แม้คดีจะยังไม่สิ้นสุดในกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ย่อมมีผลต่อความสง่างามของประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีฐานะเป็นประธานรัฐสภา หรือประมุขแห่งฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทย
แม้จะอยู่ในภาวะจำต้องทนรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชนผู้รักความเป็นธรรมยอมรับไม่ได้ ก็คือ การที่ นายชัย ชิดชอบ ยืนยันว่า สาเหตุที่ตนได้รับเลือกเพราะ “ทั้งหมดเกิดจากความดีที่ผมได้กระทำ ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสื่อสัตย์สุจริตตั้งแต่ได้รับเลือกเข้ามาเป็น ส.ส.ตั้งแต่ปี 2512 จนถึงปัจจุบันนี้ ผมไม่เคยด่างพร้อย ไม่เคยหนีกลางประชุมสภา และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาโดยตลอด ทั้งได้เป็นประธานกรรมาธิการชุดต่างๆ มากมาย ทำหน้าที่จนเรียบร้อย ทำให้สภาได้รับประวัติศาสตร์จากผมเป็นจำนวนมาก คุ้มค่ามากทีเดียว ประวัติต่างๆ ของผมลองไปศึกษาดูเองก็ได้ ว่าผมมีส่วนที่ด่างพร้อยตรงไหน”
ดังนั้น ในฐานะคนที่เกิดในจังหวัดบุรีรัมย์ จึงจำเป็นต้องโต้แย้งและแสดงข้อเท็จจริงว่า นายชัย ชิดชอบ มีความด่างพร้อยไม่น้อยจากคดีต่างๆ โดยสังเขป ดังนี้
1.วันที่ 25 กันยายน 2550 ผู้บริหารสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.ร.ฟ.ท.) ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้ดำเนินคดีกับผู้ว่าการรถไฟฯ นายบัญชา คงนคร กรณีนายชัย ชิดชอบ ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 55.8 ตารางวา ทับที่ดินของการรถไฟฯ โดยผู้ว่าการรถไฟฯ ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกรณี นางกรุณา ชิดชอบ (บุตรสะใภ้ นายชัย ชิดชอบ) ผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 8564 เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ซึ่งเป็นโฉนดทับที่ดินของการรถไฟฯ ซึ่งผู้ว่าการรถไฟฯ มีหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของการรถไฟฯ แต่กลับเพิกเฉย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (จากสำเนาหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ ที่ สร.ร.ฟ.ท.1559/2550)
2.วันที่ 17 มกราคม 2551 พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสอบสวน ได้ตรวจสอบแล้วเชื่อว่า นางละออง (ชิดชอบ) ซึ่งมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ในคดี จึงได้แจ้งข้อเท็จจริงที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดให้ทราบว่า ในปี พ.ศ.2526 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันเรื่อยมา ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายชัย ชิดชอบ ผู้ต้องหาที่ 2 โดยมีเจตนาทุจริต ได้ร่วมกันกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านรอบๆ ที่ดินสาธารณประโยชน์ ได้ร่วมกันเข้าไปบุกรุก ยึดถือ ครอบครองเอาที่ดินสาธารณประโยชน์ คือ บ้านยาง หนองใส และ กุดถ้ำแข้ เนื้อที่รวมประมาณ 139 ไร่ เป็นของตนเอง โดยการล้อมรั้วลวดหนามและขุดคูดินล้อมเป็นแนวเขตไว้ ไม่ยอมให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ ได้ทำลายสภาพโดยทำให้หนองน้ำสาธารณประโยชน์ดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ที่ไม่มีผู้ใดได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เกิดความเสียหาย โดยการนำเอาดินจากที่อื่น (โครงการขุดลอกคลองบ้านโนนค้อ ของ รพช.บร.งบประมาณ 20 ล้านบาท) ไปถมหนองน้ำสาธารณประโยชน์ จนไม่พบสภาพเป็นร่องน้ำ ปิดกั้นลำห้วยทำให้ทิศทางการไหลของน้ำเปลี่ยนไป และทำให้ระบบนิเวศน์ของธรรมชาติเสียหาย เหตุเกิดที่ ต.สตึก และ ต.สะแก อ.สตึก จว.บุรีรัมย์ การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน ร่วมกันเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 9, 108 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (จากสำเนาบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ภ.จว.บุรีรัมย์, 17 มกราคม 2551) โดยต่อมา นายชัย ชิดชอบ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งอ้างว่าป่วยและขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหลายครั้ง ก็ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเป็นที่เรียบร้อย แต่การดำเนินคดีไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เนื่องจาก นายชัย ชิดชอบ อาศัยเอกสิทธิคุ้มครองในสมัยประชุมสภาฯ จน พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล ผู้รับผิดชอบคดีถูกโยกย้ายออกจากพื้นที่ ขณะเดียวกัน นางกรุณา ชิดชอบ (ภรรยาของนายเนวิน ชิดชอบ) ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ได้มีผู้ร้องคัดค้านและชี้มูลการทุจริต กรณีอยู่ระหว่างการพิจารณาสอบสวนของ กกต.และยังปรากฏว่ามีการแต่งตั้ง นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ (ใบแดง) เป็นรองนายก อบจ.คนที่ 1 แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพลที่ครอบงำทุกมิติในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยไม่เกรงกลัวและเคารพในตัวบทกฎหมาย และที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งก็คือ นายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าฯ และประธาน กกต.บุรีรัมย์ ก็ถูกย้ายด่วนออกจากพื้นที่โดยอำนาจที่มองไม่เห็น
ดังนั้น จึงขอยืนยันต่อสาธารณชนว่า นายชัย ชิดชอบ หาใช่นักการเมืองที่ปราศจาก “ความด่างพร้อย” ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ต้องหาที่มีมูลความผิดค่อนข้างชัดเจนตามความเห็นของพนักงานสอบสวนในดังกล่าว ตามรายงานที่เสนอต่อ ผบช.ภ.3 คือ “พยานหลักฐานที่ได้รวบรวมแล้วดังกล่าวข้างต้น เพียงพอฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดิน ป่าอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เข้ายึดถือครอบครองที่ดินบริเวณ หนองยาง หนองใส กุดถ้าแข้ อันเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน โดยล้อมรั้วปิดกั้นพื้นที่สาธารณะ แสดงการครอบครองโดยผิดกฎหมาย มีเนื้อที่ประมาณ 139 ไร่”
หากคดีดังกล่าวไม่มีมูลอย่างแท้จริง พนักงานสอบสวนคงไม่กล้าหาญพอที่จะดำเนินคดีกับนักการเมืองผู้มากด้วยบารมีและอิทธิพลคับจังหวัดบุรีรัมย์
จึงขอย้ำต่อสาธารณชนว่า นายชัย ชิดชอบ คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่สง่างาม มีความด่างพร้อยจากคดีฮุบสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การพูดบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสังคม จึงเป็นความบกพร่องทางจริยธรรมแลคุณธรรม ทั้งยังน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความอื้อฉาวหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในจังหวัดบุรีรัมย์ เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ต่างๆ ที่ทำให้สังคมมองจังหวัดบุรีรัมย์ในทางลบมาตลอด โดยล่าสุด ได้มีการทุบทำลายบางส่วนของปราสาทเขาพนมรุ้งในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา”