“จตุพร พรหมพันธุ์” ออกตัวโดดปกป้อง “จักรภพ” เพื่อนร่วมแกนนำม็อบไข่แม้ว ชูคดีแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ “พล.อ.เปรม” เป็นคดีประวัติศาสตร์ทางการเมือง สุดเหิมยกอดีตแกนนำม็อบเทียบชั้น “ปรีดี พนมยงค์”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีหลังจากมีการฟ้องร้องในสมัยที่เป็นแกนนำ นปก.ที่ได้เผยแพร่บทสนทนา ซีดีบันทึกเสียงระหว่างข้าราชการระดับสูง และผู้พิพากษาอีก 2 คน ซึ่งบทสนทนามีการพาดพิงไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าในเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความอยุติธรรม เพราะนายจักรภพเคยไปแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อ พล.อ.เปรม หลังจากนั้นอัยการสั่งไม่ฟ้องโดยไม่มีเหตุผล แต่ภายหลังมีนายตำรวจคนหนึ่งไปแจ้งความกลับหาว่าตน นายจักรภพ และนายณัฐวุฒิ ทำให้เหตุการณ์โอละพ่อ ทำให้เราเปลี่ยนจากโจทก์กลายเป็นจำเลยทันที อย่างไรก็ตาม หากการเผยแพร่ใช้เป็นความผิดได้ กรณีนายชวน หลีกภัย และนายเทพไท เสนพงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ เคยเอาหนังสือเผยแพร่ข้อความหมิ่นประมาท ก็จะต้องดำเนินคดีกับทั้ง 2 คนด้วย เพราะถือเป็นการกระทำลักษณะเดียวกัน
นายจตุพร กล่าวต่อว่า กรณีนี้ศาลอาญารัชดาฯ ได้นัดดูพยานในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ บุคคลที่เป็นผู้สนทนา ทั้งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้พิพากษา 2 คน รวมทั้งคนที่ถูกเอ่ยถึง และพล.อ.เปรม ก็จะถูกเรียกร้องให้เป็นพยานในชั้นศาลด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น คดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ทางการเมือง
ส่วนกรณีที่นายจักรภพกล่าวที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ ในกรณีดังกล่าวซึ่งเคยระบุว่าอยากให้ พล.อ.เปรมขึ้นศาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นายจักรภพมีคดี 2 คดี ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท พล.อ.เปรม ซึ่งกรณีนี้นายจักรภพหมายความว่า พล.อ.เปรม ต้องขึ้นศาลในฐานะพยานหลักฐานต่อสู้คดี และเห็นว่า พล.อ.เปรม สามารถขึ้นศาลได้เหมือนคนปกติทั่วไป
สำหรับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนนายจักรภพนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ประเด็นที่ยื่นถอดถอนโดยเฉพาะห้ามสื่อภาครัฐนำเสนอข่าวรัฐประหาร ถือเป็นการประจานตัวเอง เป็นเรื่องน่าละอาย ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และนายจักรภพไม่ได้แทรกแซงสื่อ เพราะสื่อของรัฐไม่ควรสนับสนุนการทำรัฐประหาร เพราะถือว่าเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนไปถึงประเด็นที่นายจักรภพเคยไปกล่าวที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องอันตราย เนื่องจากมีการพาดพิงสถาบัน นายจตุพร กล่าวว่า ประเด็นนี้นายสมัครเคยพูดในรายการสนทนาประสาสมัครเพื่อคลี่คลายในข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนนายจักรภพก็จะอธิบายอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่ได้กระทำการอย่างที่มีการกล่าวหา
“วันนี้ฝ่ายค้านหรือฝ่ายใดก็ตามที่จะกล่าวหานายจักรภพควรกล่าวหาด้วยข้อเท็จจริง และควรยุติการนำสถาบันมาทำลายบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แบบที่นายปรีดี พนมยงค์ เคยโดนจนต้องหนีและไปตายที่ประเทศฝรั่งเศส กลับมาในแบบเถ้าถ่าน สุดท้ายยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลของโลก แต่มันมีความหมายอะไร กรณีการยึดอำนาจ คปค.ก็นำเรื่องสถาบันมาบังหน้า แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดก็สั่งไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้น เห็นได้ชัดว่าเรื่องสถาบันทั้งในอดีตถึงปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายล้างทางการเมือง การจงรักภักดีควรจงรักภักดีทั้งกายและวาจา วันนี้คน 63 ล้านคนมีหัวใจดวงเดียวกันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีใครคิดอย่างอื่น” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องนี้นายจักรภพพร้อมอธิบาย แต่อยากถามพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำบาปครั้งที่สองหรือ เพราะครั้งแรกเรื่องนายปรีดี พนมยงค์ พรรคประชาธิปัตย์เคยขอโทษครอบครัวพนมยงค์ ขบวนการเสรีไทยหรือไม่ มาวันนี้นายจักรภพเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลี เพราะฉะนั้นอย่าฆ่านายจักรภพเหมือนที่เคยฆ่านายปรีดี
ส่วนลักษณะที่นายจักรภพพูดทำนองเสียดายแทนนายปรีดีนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นายจักรภพ ไม่ได้มีเจตนา พวกเราทุกคนชื่นชมนายปรีดี พนมยงค์ ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายปรีดีเคยทำคุณงามความดีประเทศมากมาย ทั้งเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย แต่สุดท้ายนายปรีดีกลับถูกใส่ร้ายว่าลอบปลงพระชนม์อย่างอยุติธรรม เพราะฉะนั้น พวกเราเห็นว่าในอดีตการใส่ร้ายคนในเรื่องสถาบันเป็นการทำร้ายคนดี แต่การที่พูดถึงนายปรีดีเป็นลักษณะเคารพยกย่อง และไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะฉะนั้นคนที่ทำคุณงามความดีไม่ควรได้รับชะตากรรมแบบนายปรีดี
สำหรับกรณีที่ ส.ว.และชมรม ส.ส.ร.50 ระบุว่า การยื่นร่างรัฐธรรมนูญของ คปพร.ขัดต่อมาตรา 68 และ 291 เนื่องจากเป็นการยกร่างทั้งฉบับ ไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาว่าจะตรวจสอบและวินิจฉัยต่อไป ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ ส.ส.ร.50 ที่จะพิพากษาในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ได้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.ไว้ครบตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และถ้าการเสนอชื่อภาคประชาชนมีปัญหา ก็อาจจะยื่นในนาม ส.ส.แทน ส่วนที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไม่เคลื่อนไหวขณะนี้เนื่องจากขณะนี้นายประสพสุข บุญเดช ประธาน ส.ว. ในฐานะรักษาการประธานรัฐสภา มีทัศนคติไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พวกตนจึงรอให้นายชัย ชิดชอบ ว่าที่ประธานสภาฯ ได้รับการโปรดเกล้าเป็นประธานสภาฯ ก่อน ยืนยันว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน