xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์-อมร” จวกนักวิชาการหน้าด้าน-มักง่าย ป้ายสี “ผู้จัดการ” เป็น “ยานเกราะยุคใหม่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เติมศักดิ์ จารุปราณ
“ประพันธ์” ชี้บทบาท “ดาวสยาม-ยานเกราะ” ต่างจาก “ผู้จัดการ” สิ้นเชิง ระบุ “นปก.-สมัคร” น่าจะเข้าข่ายมากกว่า เตือนนักวิชาการเลิกยึดติดทฤษฎีคร่ำครึ เมินตรวจสอบระบอบทักษิณโคตรโกง ย้ำคนที่จะนำไปสู่ 6 ตุลา ไม่ใช่ ผู้จัดการ-พันธมิตรฯ แต่เป็นรัฐบาลที่ดื้อรั้นแก้ รธน.ใช้อำนาจเพื่อตัวเอง ต่างหาก ด้าน “อมร” โต้ข้อหา ผู้จัดการ-พันธมิตรฯ ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ชี้ระบอบทักษิณพังเพราะทำลายตัวเองต่างหาก ประเด็นหมิ่นสถาบันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แฉอดีตฝ่ายซ้ายหลายคนกำลังเพลิดเพลินกับทุนสามานย์ เพราะได้เคลียร์หนี้สิน ซัดกลับคนป้ายสี “ผู้จัดการ” เป็น “วิทยุยานเกราะ” หน้าด้านและมักง่าย โยนข้อหาใส่กันโดยไม่แยกแยะ ด้าน “สนธิ” ย้ำเชื่อมั่นในองค์ในหลวง พร้อมต่อสู้โดยเอาธรรมนำหน้า จวกระบอบประชาธิปไตยตัวแทน เลือกตั้งเข้ามา สูบเลือดสูบเนื้อ ปชช. สวนกลับ “ฟ้าเดียวกัน” ตั้งคำถามงบ 300 ล้านจัดงานพระศพ แต่ไม่ตั้งคำถามเงิน 1 หมื่นกว่าล้านที่ทักษิณเลี่ยงภาษี

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการคนในข่าว

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางเอเอสทีวี นิวส์วัน วันที่ 13 พ.ค.51 ดำเนินรายการโดย นายเติมศักดิ์ จารุปราณ นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตเลขาธิการเครือข่ายเดือนตุลา ร่วมรายการ

เติมศักดิ์ - สวัสดีครับ “คนในข่าว” วันนี้เราจะคุยกันต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้นะครับ กรณีสื่อมวลชนในเครือผู้จัดการถูกนักวิชาการ นักวิจารณ์บางกลุ่มกล่าวหาว่ากำลังทำบทบาทเหมือนฝ่ายขวาจัดในยุค 6 ตุลา 2519 นักวิชาการบางคนบอกว่าสื่อในเครือผู้จัดการกำลังก่อกระแส “ละคอนแขวนคอ” ยุคใหม่ ดังบทความของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รวมทั้งบทความของ อ.เกษียร เตชะพีระ ที่ใช้ชื่อบทความว่า “อย่าเดินไปสู่ 6 ตุลา” และล่าสุดมีแถลงการณ์ของ 130 นักวิชาการ นักกิจกรรม ประณามสื่อในเครือผู้จัดการ

วันนี้เราจะมาดูกันหน่อยครับว่า เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ในยุคตุลาคม 2519 กับสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน คู่ขัดแย้งเป็นใครบ้าง ตัวละครที่สำคัญเป็นใครบ้าง และเมื่อเปรียบเทียบบทบาทของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม กับวิทยุยานเกราะในยุค 6 ตุลา 19 และเปรียบเทียบบทบาทของสื่อในเครือผู้จัดการในยุคปัจจุบัน ต่างกันอย่างไร วันนี้ 2 ท่านที่จะมาพูดคุยกับเรา ท่านแรกอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คุณประพันธ์ คูณมี สวัสดีครับ

ประพันธ์ - สวัสดีครับ

เติมศักดิ์ - ส่วนอีกท่านนะครับ อดีตคนเดือนตุลา คุณอมร อมรรัตนานนท์ สวัสดีครับ

อมร - ครับ สวัสดีครับ

เติมศักดิ์ - ทั้งสองท่านเป็นคนในยุค 6 ตุลา เข้าป่ามาแล้ว

อมร - ครับ บางท่านอาจจะรวม 14 ตุลาด้วย

เติมศักดิ์ - บทความที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ บทความของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อ.สมศักดิ์ ก็เป็นนักศึกษา แกนนำนักศึกษา 6 ตุลา 19 อ.เกษียร เตชะพีระ ที่เขียนบทความเรื่อง “อย่าเดินไปสู่ 6 ตุลา” อ.เกษียร ท่านก็เป็นคน 6 ตุลา 19 อยากให้ทั้งสองท่านได้เปรียบเทียบหน่อยครับว่า บทบาทของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม กับวิทยุยานเกราะ เมื่อยุคตุลา 19 กับบทบาทของสื่อในเครือผู้จัดการ ในยุคปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างไร เชิญคุณประพันธ์ก่อนเลยครับ

ประพันธ์ - ขอบคุณคุณเติมศักดิ์ครับ ก็ดีใจครับที่ได้มาพูดคุยเรื่องนี้ ความจริงผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าได้มีการถกแถลง หรือต่อสู้ทำความเข้าใจกันทางความคิดให้มันตกผลึกให้ชัดแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่ไม่ได้ติดตามประวัติศาสตร์ ก็จะได้ทราบว่ายุคเมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลานั้น มันเป็นเหตุเกิดเนื่องจากอะไร และบทบาทของสื่ออย่างดาวสยามในอดีตนั้น ทำหน้าที่อย่างไร แตกต่างจากสื่อในเครือผู้จัดการอย่างไร ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญ คือวันนี้ต้องยอมรับครับ คนที่มาพูด คนที่มาเขียนบทความเหล่านี้ก็เป็นคนที่มีส่วนอยู่ในเหตุการณ์ อาจจะร่วมในเหตุการณ์ในหน้าที่ ในบทบาทอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องเคารพบทบาท ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ที่แปลกใจก็คือว่า คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นน่าจะเข้าใจบทบาทและเข้าใจเหตุการณ์ของสื่ออย่างดาวสยามได้เป็นอย่างดี และก็ได้รับความเจ็บปวดจากเหตุการณ์นั้นมาอย่างดี รวมทั้งบทบาทของสื่อวิทยุยานเกราะในขณะนั้นเป็นอย่างดี แต่เหตุไฉนจึงพยายามที่จะเปรียบเทียบสื่ออย่างเครือผู้จัดการ ซึ่งมีบทบาทแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสื่อยานเกราะ จะว่าไปจริงๆ แล้วสื่อลักษณะแบบยานเกราะในอดีต ขณะนี้ก็ยังออกอากาศทุกวัน ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่คุณสมัครออกมาจ้อๆ อยู่หน้าจอทีวีนั้น ไม่ต่างอะไรกับในอดีตของสื่อยานเกราะ เป็นการเติมเชื้อไฟ เป็นการจุดประเด็นสร้างความขัดแย้ง ชวนทะเลาะ เป็นนายกฯ ที่เลอะเทอะที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยมีนายกฯ มา แล้วบทบาทของยานเกราะก็คือบทบาทของนายสมัคร สุนทรเวช กับ พ.อ.อุทาน ในอดีต แต่คนเหล่านี้ไม่เคยพูดถึงว่าบทบาทของคุณสมัคร ที่ทำตั้งแต่ยุคคุณทักษิณยังอยู่ และต่อเนื่องมากระทั่งเป็นนายกฯ ท่านก็ทำบทบาทเดิมอยู่ ก็ไม่แตกต่างจากในอดีต เพราะฉะนั้นความขัดแย้งในอดีตนั้นมันเป็นเรื่องระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย คือฝ่ายพวกเรา นิสิต นักศึกษา และต้องการที่จะสลัดตัวหลุดพ้นจากการปกครองระบอบเผด็จการในอดีต แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็ใช้กลไกอำนาจรัฐ และวิทยุเครือข่ายของสื่อมวลชนที่เขามีอยู่เพื่อจะปราบปราม สังหาร เข่นฆ่าประชาชน จึงได้สร้างสถานการณ์ขึ้นมา ได้จัดตั้งองค์กรมวลชน ซึ่งองค์กรมวลชนที่ทำการเคลื่อนไหวในอดีตนั้น ไม่ต่างอะไรจากพวก นปก.หรือพวกที่ไปก่อกวนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หอประชุมใหญ่ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

เติมศักดิ์ - หมายถึงลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล

ประพันธ์ - ครับ ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล

เติมศักดิ์ - ในยุค 6 ตุลา 19

ประพันธ์ - ในยุคของ 6 ตุลา

เติมศักดิ์ - มีบทบาทเหมือนกับ นปก.

ประพันธ์ - ถ่อยพอกัน

เติมศักดิ์ - ไม่ต่างจาก นปก.เลย

ประพันธ์ - ครับ ไม่ต่างกันเลยครับ ทั้งใช้วาจาไม่สุภาพ ด่าทอ ขว้างปา และก็มีพฤติกรรมในลักษณะยกขบวนไปหน้าบ้านป๋าเปรม แล้วเขาชุมนุมอยู่หอประชุมใหญ่ ถ้าตัวเองอยากชุมนุมทำไมไม่ไปชุมนุมที่อื่น บทบาทของสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น

เติมศักดิ์ - ตกลงคุณสมัคร ในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับวิทยุยานเกราะ

ประพันธ์ - ไม่ต่างอะไรเลย

เติมศักดิ์ - นปก.ตอนนี้ กับกลุ่มที่ไปเย้วๆ ที่ตรงข้ามธรรมศาสตร์ ไม่ได้ต่างจากนวพล กระทิงแดง

ประพันธ์ - ไม่ได้ต่างอะไรจากนวพล กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน ในอดีตที่เป็นเครื่องมือขององค์กรมวลชนที่ฝ่ายขวาจัดจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจะเป็นเครื่องมือในการทำร้ายประชาชน

เติมศักดิ์ - ก็หมายความว่า โดยเปรียบเทียบแล้วพันธมิตรฯ โดยบทบาทของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับประชาชน ณ ตอนนี้ก็เหมือนกับ

ประพันธ์ - กลุ่มนิสิต นักศึกษาในอดีต เพราะฉะนั้นกรณีไปบุกตึกเนชั่นก็ดี กรณีที่มาชุมนุม นปก.ในขณะนี้ ที่กระทำอยู่ขณะนี้ ชุมนุมที่จตุจักร แล้วไปบุกตึกเนชั่น และทำร้าย นี่ไม่ต่างจากพฤติกรรมของพวกกระทิงแดง พวกลูกเสือชาวบ้านที่เป็นเครื่องมือของกลุ่มขวาจัดและกลุ่มวิทยุยานเกราะที่ทำในอดีต และที่เขวี้ยงปาเข้าไปในหอประชุมใหญ่ก็ดี ควักของลับออกมาก็ดี หรือพูดจาไม่สุภาพก็ดี นี่คือกระบวนการของกลุ่มบรรดาที่นักวิชาการเหล่านี้ไม่เคยพูดถึงเลยแต่กับสื่อของผู้จัดการ

ซึ่งตลอดเวลาผมก็ติดตามมาโดยตลอด พยายามให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริง เปิดโปงว่าใครทุจริตคอร์รัปชันอย่างไร ใครใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างไร ใครละเมิดกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดระบอบประชาธิปไตย อย่างไร และเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนเพื่อพิทักษ์ปกป้อง ในสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าบทบาทของเครือวิทยุและเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการปัจจุบันนี้มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเครือของหนังสือพิมพ์ดาวสยามในอดีต และดาวสยามในอดีตนั้น กรณีที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นภาพที่แต่งขึ้นมา และเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อจะป้ายสีให้กับการต่อสู้ การเคลื่อนไหวของนักศึกษา แต่ขณะนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ ที่คนเหล่านี้พยายามล่วงเกินสถาบันก็ดี ล่วงเกินบุคคลสำคัญก็ดี และพยายามเคลื่อนไหวเผยแพร่ความคิด ที่พยายามจะบอกเป็นนักวิชาการรุ่นใหม่ ความคิดรุ่นใหม่ และเขายังคิดว่าบ้านเมืองขณะนี้ยังอยู่ในยุคสังคมศักดินา สมบูรณาญาสิทธิราช ที่ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความจริงถ้าจะพูดตามทฤษฎีประวัติศาสตร์การเมืองแล้ว มันต้องปฏิวัติระบบทุนนิยมเพื่อไปสู่สังคมนิยม ซึ่งเป็นทุนนิยมที่ล้าหลัง เป็นทุนนิยมสามานย์ ทุนนิยมเผด็จการ ไม่ใช่ระบอบศักดินาแล้ว ประเทศไทยไม่มีระบอบศักดินาแล้ว

เพราะฉะนั้น การพยายามประดิษฐ์คำว่า “อำมาตยาธิปไตย” นักวิชาการเหล่านี้พยายามประดิษฐ์คำเหล่านี้ขึ้นมา ถามว่าพวกขุนนางในสังคมไทยขณะนี้มีใครบ้างที่เป็นใหญ่เป็นโต และได้ดิบได้ดี มีแต่กลุ่มทุนใหม่ๆ ซึ่งมาจากพวกพ่อค้า นักเลง อันธพาล พวกนักการเมืองที่อาศัยอำนาจและไปแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าประเทศไทยเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย จะไม่มีคนอย่างนายทักษิณขึ้นมาร่ำรวยเป็นแสนล้าน จะไม่มีคนอย่างนักการเมืองท้องถิ่น จะไม่มีคนอย่างนายเฉลิม ที่จะมารวยเป็นร้อยๆ ล้าน เพราะขุนนางอำมาตยาธิปไตยจะต้องคุมเส้นเลือดเศรษฐกิจใหญ่หมดแล้ว ในปัจจุบันนี้มันเป็นพวกทุนการเมือง สมคบกับพ่อค้า ทุนรุ่นใหม่ และก็เป็นทุนที่ล้าหลัง ไม่ใช่ทุนอุตสาหกรรมที่สร้างนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ของตัวเองขึ้นมา อย่างคุณทักษิณก็เป็นเพียงแค่การเอาโทรศัพท์มือถือเข้ามาขายในประเทศไทยแล้วได้สัมปทาน ไม่ได้คิดประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือขึ้นมาเอง ไม่ได้เหมือนไมโครซอฟท์ที่คิดประดิษฐ์คอมพิวเตอร์และขายไปทั่วโลก เป็นทุนบริวารและเป็นทุนที่ล้าหลัง เป็นทุนที่หากินสูบเลือดสูบเนื้อจากคนไทยด้วยกันเอง ไม่สามารถไปแข่งขันกับประเทศอื่นได้

เติมศักดิ์ - บางคนอาการไปไกลถึงขนาดที่ว่าทักษิณจะสานต่อภารกิจของ อ.ปรีดี ไปนั่นเลย

ประพันธ์ - อันนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง อันนี้ก็เป็นเรื่องของการพยายามที่จะยกยอปอปั้นคนซึ่งไม่เคยทำคุณงามความดีอะไรให้กับประเทศชาติ ไปเทียบเคียงกับท่าน อ.ปรีดี

เติมศักดิ์ - เดี๋ยวกลับมา เบื้องต้นแค่นี้ก่อนนะครับ / คุณอมรครับ ดาวสยาม กับวิทยุยานเกราะ เมื่อ 6 ตุลา 19 เมื่อเปรียบเทียบกับบทบาทของสื่อในเครือผู้จัดการ ณ ตอนนี้ แตกต่างกันอย่างไร

อมร - ครับ ผมคิดว่าคุณประพันธ์พูดให้เห็นภาพค่อนข้างชัดนะครับว่า ความแตกต่างมันแตกต่างกันทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหา ในยุคปี 19 นั้น สื่อที่พยายามสร้างสถานการณ์ และเป็นตัวที่จุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นยานเกราะ หรือดาวสยาม หรือว่าเครือข่ายชมรมวิทยุเสรี ล้วนแล้วแต่จัดการโดยคนของรัฐทั้งนั้น หรือไม่ก็ได้รับการสนับสนุนทางตรง ซึ่งในแง่ตรงนี้มันแตกต่างกัน เพราะว่าบทบาทของผู้จัดการนั้นเป็นหนังสือพิมพ์อิสระ เป็นธุรกิจของนักวิชาชีพ ที่ต้องการทำสื่อในการที่จะสะท้อนปัญหาของสังคม และต่อสู้ในประเด็นความไม่ถูกต้อง กรณี 6 ตุลา ค่อนข้างชัดเจน และผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สังคมโดยทั่วไปยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันคือการฆาตกรรมหมู่ ในการที่จะทำลายขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในใจกลางเมืองหลวง ซึ่งสาเหตุที่เป็นจุดที่ทำให้เกิดชนวนแห่งความรุนแรงนั้นก็เกิดขึ้นจากการสร้างข้อมูลเท็จ ในการให้ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษาประชาธิปไตยที่ต่อสู้ในครั้งนั้น

เติมศักดิ์ - ให้ร้ายป้ายสี

อมร - ให้ร้ายป้ายสี เน้นคำนี้เลยครับ ในขณะเดียวกันถ้ามองในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ที่สื่อทั้งหมดในเครือผู้จัดการได้พยายามนำเสนอก็คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม จะเป็นที่ประจักษ์โดยชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของคุณโชติศักดิ์ หรือประเด็นการเคลื่อนไหวของ นปก. ก็มีตัวตน แล้วก็เป็นอะไรที่จับต้องได้ สังคมทั้งสังคมก็รับรู้ว่าเขาคิดอะไร เขาทำอะไร ทีนี้ผมอยากจะมาพูดถึงตรงนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ผมรู้สึกสงสารและต้องบอกจริงๆ ว่าเวทนาเพื่อนผม ต้องเรียกว่า "เพื่อนผม" นะ ในวันนี้คนที่ออกมาขับเคลื่อน จริงอยู่เราอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกันมาก แต่เราทำงานในกิจกรรมกลุ่มเดียวกัน คือเราทำงานนักเรียน อย่าง อ.สมศักดิ์ หรือหัวโต ในคนรุ่นผมเรียกว่า "หัวโต" ก็เติบโตมาจากเด็กนักเรียนที่ตื่นตัวทางการเมือง ซึ่งเป็นผลผลิตผลพวงจากการต่อสู้ของพี่ๆ นักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา พวกเราในวันนั้นต้องยอมรับว่าจุดยืนของผมกับคุณสมศักดิ์ เรามีจุดยืนเดียวกัน เราเคยคิดเหมือนกัน ในวันที่ประเทศไทยเราตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร ในวันนั้น ยุคนั้นนะ แล้วก็หลายครั้งเราต้องเผชิญกับระบอบประชาธิปไตยที่จอมปลอม สังคมไทยนี่อยู่ภายใต้ความอึดอัด สังคมบ้านเราในยุคหนึ่ง ประเทศไทย โดยการจัดการของผู้ปกครองในยุคนั้น นำประเทศเราไปพึ่งพิง ทำให้เราเสียทั้งเอกราชทางการทหาร เอกราชทางการเมือง เอกราชทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลพวงมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าเนื้อหาการต่อสู้ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่อสังคมที่ดีงาม วันนี้ 32 ปี สิ่งที่เราคาดหวังและเราพยายามต่อสู้ยังไม่จบสิ้น การเกิดขึ้นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือสิ่งที่พวกเรากำลังดำเนินการอยู่ในทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่อง ผมไม่อยากให้มองอะไรที่มันตัดตอน อยากจะมองให้เห็นถึงรากเหง้า

เติมศักดิ์ - เราเคยต่อสู้กับอะไรเมื่อ 32 ปีที่แล้ว วันนี้ก็ยังต้องต่อสู้กับสิ่งนั้นอยู่

อมร - ถูกต้อง ต่อสู้อะไร วันนี้ผมอยากจะถามคุณสมศักดิ์ ในฐานะที่วันนี้ใช้เวลาตัวเองอยู่กับคลังหนังสือ อยู่กับห้องสมุด และสอนหนังสือลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกน้อยครั้งมากที่จะเห็นสมศักดิ์เดินลงไปในชนบท หรือไปพบปะผู้คน วันนี้ผมอยากจะถามว่าสิ่งที่คุณสมศักดิ์ หรือพี่น้องที่เคยอยู่ในขบวนการนิสิต นักศึกษา รวมทั้งขบวนการฝ่ายซ้าย จะเป็นส่วนหนึ่งของซีพีทีหรือไม่ ก็แล้วแต่ ในวันนั้นเราต้องการอะไร เราต้องการสังคมที่เป็นประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตย เราไม่ต้องการสังคมที่มีแค่การเลือกตั้ง แต่เราต้องการสังคมที่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง สังคมที่เป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ที่พี่น้องประชาชนทุกกลุ่มคนในประเทศไทยจะต้องมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน เราต้องการสังคมที่มีความเสมอภาค มีภราดรภาพ การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาใน 32 ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรม ในวันนี้ก็เหมือนกัน ในวันนี้เราจะเห็นได้ว่าเรามีประชาธิปไตยแค่รูปแบบ สิ่งที่เราเรียกว่าทุนนิยมสามานย์กำลังได้ทำให้ความเข้าใจของพี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยที่ผิดพลาดและบิดพริ้วมาตลอด วันนี้หลายคนที่ผมคิดว่าถ้าหลายคนยังมีเลือดเนื้อและมีอุดมการณ์จริงๆ ก็จะเข้าใจได้เลยว่าวันนี้บ้านเรายังไม่มีประชาธิปไตย มันมีแค่รูปแบบ แต่ในเชิงเนื้อหามันคือเผด็จการ

เติมศักดิ์ - อาจจะห่อหุ้มด้วยประชาธิปไตย ใส่เสื้อคลุมประชาธิปไตย แต่เนื้อหาไม่ใช่

อมร - ครับ แล้วผมอยากจะเสนอความคิดอย่างหนึ่ง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยวันนี้ทำไมต้องทิ้งช่วงห่าง และไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ ใช้เวลาจริงๆ แล้วอาจจะต้องรวมถึงในยุคของท่านปรีดีไปด้วย เรียกว่า 70 ปีดีกว่า ทำไมบ้านเรายังไม่มีประชาธิปไตย ด้านหนึ่งผมคิดว่ามันเกิดจากสาเหตุของขบวนการฝ่ายประชาชนเรานี่ล่ะ เนื่องจากเราอยู่ในสังคมที่ถูกครอบงำโดยรัฐมาโดยตลอด การตื่นตัวของพี่น้องประชาชนในวันนี้บอกตรงๆ ว่ามันยังไม่ได้ซึมลึกจิตสำนึกประชาธิปไตย มันยังไม่ได้สำนึกถึงคนส่วนใหญ่ จะมีแค่คนส่วนน้อย ก็คือเยาวชน นิสิต นักศึกษา หรือปัญญาชน ชนชั้นกลางบางส่วน ที่เคยได้ไปลิ้มรสกับระบอบประชาธิปไตย หรือได้ร่ำเรียนมา แต่ความผิดพลาดที่มันเกิดขึ้นทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในวันนี้ไปถึงเป้าหมายช้า ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าบทเรียนความอ่อนหัดของขบวนการนักศึกษา หลัง 14 ตุลา รวมทั้งคนรุ่นผม วันนั้นเราอ่อนด้อย เราขาดประสบการณ์ ถ้าจะกลับไปมองย้อน มีการสรุปบทเรียน เราต้องยอมรับว่าช่วงชีวิตหนึ่ง ผมเองด้วยส่วนหนึ่ง ผมกล้ายอมรับว่าผมเป็นซ้ายทารก เป็นซ้ายไร้เดียงสา ซึ่งในวันนี้ผมยังเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ บางคนยังไม่สลัดคราบไคลตรงนั้นอยู่ เราไปเดินตามก้นทฤษฎีบางสำนักจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง พี่ประพันธ์เราเจ็บปวดใช่ไหมครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้เรื่องยาวถ้าเกิดจะคุยเรื่องความผิดพลาด

เติมศักดิ์ - ผมขอย้อนไปที่บทความของ อ.สมศักดิ์ นิดหนึ่งนะครับ จะถามต่อว่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล บอกว่าในระยะ 2 ปีเศษนี้ สื่อในเครือผู้จัดการได้ใช้เรื่องของข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นข้ออ้างทางการเมือง มาเล่นงานผู้ที่พวกเขาไม่เห็นด้วย แล้วในบทความยังบอกด้วยซ้ำไปว่า เราสร้างนิทานหลอกเด็กเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์" แถมในบทความ อ.สมศักดิ์ บอกว่า ในโลกยุคปัจจุบันการเป็นสัญลักษณ์ของประชาชาติหนึ่งที่มีคน 60 กว่าล้านคน จะเป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้อย่างไร ตกลงเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์" เป็นเรื่องหลอกเด็กเหรอ

ประพันธ์ - อันนี้ผมคงต้องใช้เวทีตรงนี้พูดอีกครั้งหนึ่ง ผมจำได้ว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วผมก็พูดเรื่องนี้กับคุณเติมศักดิ์ ในรายการตอนบ่ายตอนนั้น ผมคิดว่าเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ หรือสิ่งที่ อ.สมศักดิ์ กำลังกล่าวหาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ รวมทั้งใครก็แล้วแต่ที่มีความคิดเหล่านี้กำลังสร้างนิทานหลอกเด็ก

เติมศักดิ์ - หรือว่าเรากำลังนำเรื่องของสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ประพันธ์ - ใช่ ตรงนี้ผมอยากจะเรียนท่านผู้ชมว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่เป็นความผิดพลาด หรือเป็นข้อกล่าวหา หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลทักษิณนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง สาเหตุที่รัฐบาลคุณทักษิณล้มไป ในวันที่ 19 กันยา มันไม่ใช่ประเด็นเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ แต่เนื้อหาหลักของสิ่งที่คุณทักษิณทำลายตัวเองแล้วก็ล้มครืนไปในวันนั้น เป็นเพราะว่าคุณทักษิณได้บิดเบือนคำว่าประชาธิปไตย และใช้คำว่าประชาธิปไตยตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มตนเองในการแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เกิดปัญหาความไม่พอใจของพี่น้องประชาชน เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์นั้น จริงๆ แล้วหลังจากที่ผมพูดออกไป วันนั้นผมพูดกับคุณเติมศักดิ์ว่า จริงๆ สิ่งที่เรานำมาคุยกัน เขาไม่ได้นิยามว่าเป็นปฏิญญาอะไรหรอก แต่ว่าเป็นยุทธศาสตร์ เป็นเรื่องของความใฝ่ฝันของพี่น้องที่เรียกว่าเป็นฝ่ายซ้าย ส่วนหนึ่งในวันที่มีการเลือกตั้ง หลายคนมีความเชื่อว่าอยากจะเข้าไปทำงานการเมือง อยากจะไปเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอยู่ดีกินดี มีความสุข วันนั้นเหตุการณ์มันเกิดขึ้นที่อีสาน เป็นเรื่องจริงที่ผมคิดว่าเขาอาจจะเจ็บปวดในการที่ผมนำเรื่องนี้มาพูด แต่เรื่องนี้พี่น้องอีสาน พี่น้องที่เป็นเอ็นจีโอหลายคนที่ไปในงานเลี้ยงรัฐมนตรีช่วยฯ คนหนึ่ง แล้วคืนนั้นประมาณเที่ยงคืนกว่า ทุกคนรู้ดีว่าคุยอะไรกัน ผมก็เข้าใจความเป็นพี่ของคนที่คุยเรื่องนี้ ก็คือเป็นการต้องการเปิดขึ้นมาเพื่อที่จะให้การยอมรับ ให้เกิดการยอมรับจากเพื่อนฝูง ที่ทำงานอยู่ในภาคชนบทว่าพวกเขาเข้ามาทำงานการเมือง ไม่ได้เปลี่ยนสีแปรธาตุ ก็เลยคุยคำใหญ่คำโตว่าการสร้างพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ในวันนี้ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมสร้าง ไม่ได้สร้างไปเพื่อตอบสนองต่อตัณหาของใคร แต่เป็นการตั้งใจที่จะทำพรรคการเมืองเพื่อเป็นพรรคของประชาชน แต่บทเรียนเป็นที่พิสูจน์ใน 7-8 ปี ที่เกิดพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ส่วนหนึ่งผมได้เข้าไปอยู่ตรงนั้นด้วย ผมเห็นว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่คำลวง เป็นการโกหกทั้งสิ้น อย่างเช่นประเด็นผมจะทำพรรคให้เป็นพรรคของมวลชน ผมอยากจะถามบรรดาพี่ๆ ซึ่งเคยถามมาแล้ว ในวันนั้น เป็นแล้วหรือ และในวันนี้เป็นแล้วหรือ พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นความต่อเนื่องของพรรคไทยรักไทย

เติมศักดิ์ - รวมทั้งเป้าหมายหนึ่งของปฏิญญาฟินแลนด์ก็คือการทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ ซึ่งในบทความของ อ.สมศักดิ์ ที่โจมตีสื่อในเครือผู้จัดการ ค่อนข้าง อาจจะเห็นด้วยด้วยซ้ำไปถ้าดูในนัยระหว่างบรรทัด เพราะ อ.สมศักดิ์ ใช้คำว่า การเป็นสัญลักษณ์ของคน 60 กว่าล้าน จะเป็นเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร

อมร - ประเด็นนี้ผมว่าสำคัญนะ คือประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ก็เป็นเพียงประเด็นหนึ่ง แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริง และโดยต้องยอมรับว่าขณะนี้ก็คือการรวมตัวของกระบวนการฝ่ายซ้ายเดิมในอดีต หรืออดีตสหายเก่า อดีตซีพีที อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เก่า ซึ่งมีสายใยเชื่อมโยงกับมวลชนรากหญ้า ชาวไร่ชาวนา เกษตรกร อะไรก็แล้วแต่ ยังอิงแอบอยู่กับกลุ่มการเมืองของไทยรักไทยในอดีต และพลังประชาชนในขณะนี้ และยังมีการสังฆกรรมทางการเมืองเพื่อเป้าหมายทางการเมืองที่ร่วมกันอยู่

เติมศักดิ์ - และยังมีเครือข่าย ขบวนการ

อมร - และยังมีเครือข่ายในการที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายทางการเมือง ดังได้เห็นรูปการก่อร่างของกระบวนการทางการเมือง เกิดขึ้นขณะนี้ชัดเจน ไม่มีใครไปแต่งแต้มสร้างสรรค์ให้เขาเอง บรรดากลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ ที่พยายามมาเสนอแนวคิดกล่าวหาคนอื่น อย่างกล่าวหาเครือผู้จัดการ หรือคนที่ออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นพวกที่เอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือในทางการเมืองในการประหัตถ์ประหารเขา คำถามก็คือ มันต้องถามกลับไปว่าความจริงแล้วสื่ออย่างเครือผู้จัดการเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ผมถามว่าคนเหล่านี้ถ้าเขายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ และเขาเป็นนักวิชาการจริง เขาต้องรู้ว่าประเทศภายใต้การปกครองของระบอบทักษิณมีสื่อหน้าไหนบ้างกล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณ รวมทั้งนักวิชาการหน้าอย่างพวกนี้ ทั้งๆ ที่ทักษิณทำความชั่ว ทุจริต คอร์รัปชั่น คดโกง แทรกแซงสื่อ แทรกแซงองค์กรอิสระ แทรกแซงกลไกตามระบอบรัฐธรรมนูญ ทำสภาเป็นเพียงสภาทาส คนพวกนี้มุดหัวอยู่ที่ไหน ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เลย แล้วถามว่า แล้วสื่อทั้งหลายในวันนั้นมีสื่อฉบับไหนกล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณบ้าง วิพากษ์วิจารณ์การทุจริตคอร์รัปชั่น วิพากษ์วิจารณ์การแทรกแซงสื่อ มีทีวีรายการไหนนอกจากรายการน้ำเน่า มีรายการใดที่ประเทืองปัญญาบ้าง มีสื่อฉบับใดที่กล้าหาญขึ้นมาเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นแสนๆ ล้าน ความจริงแล้วด้วยความกล้าหาญของสื่ออย่างเครือผู้จัดการ สื่ออย่างเครือผู้จัดการควรจะได้รับการชื่นชมยกย่อง เป็นวีรบุรุษของประชาชน เพราะเขามีความกล้าหาญ และไม่ยอมสยบเป็นทาสของระบอบทักษิณ ส่วนประเด็นเรื่องสถาบัน

เติมศักดิ์ - คำเตือนหรือข้อกล่าวหาของนักวิชาการอย่าง อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ อ.เกษียร ตีชะพีระ ที่บอกว่าอย่าเดินไปสู่ 6 ตุลา ใครเดินไปสู่ 6 ตุลากันแน่ ใครพยายามจะเดินไปสู่จุดๆ นั้นกันแน่

อมร - ก็นี่ไงล่ะ ใครพยายามจะทำให้เหตุการณ์เดินไปสู่ 6 ตุลา

เติมศักดิ์ - บทความ อ.สมศักดิ์ กับ อ.เกษียร นี่เหมือนกับว่าพวกเราพยายามเดินไปสู่ 6 ตุลา

ประพันธ์ - ซึ่งอันนี้ผมก็แปลกใจว่าเขากลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ และบิดเบือนเหตุการณ์ได้อย่างหน้าตาเฉย เพราะฉะนั้นคนที่กำลังพยายามทำให้เหตุการณ์เดินไปสู่ 6 ตุลา มันไม่ใช่เครืออย่างผู้จัดการ มันไม่ใช่อย่างพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นว่าคนที่พยามดื้อรั้นและใช้กลไกอำนาจรัฐ และใช้สื่อที่อยู่ในเครื่องมือของตัวเอง และใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อทุจริตคอร์รัปชั่น ต่างหากที่กำลังจะทำให้บ้านเมืองเข้าไปสู่จุดนั้น เผชิญหน้ากับความรุนแรง ใช้สื่อที่มีอยู่ทุกวันนี้ด่าสื่อหนังสือพิมพ์ทุกวัน ด่า ทะเลาะ แทนที่สื่อของรัฐ ภาษีของประชาชนจะถูกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ กลับกลายเป็นเครื่องมือสนองตัณหาของผู้นำประเทศไว้ด่าคนอื่น ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้เป็นความเลวร้ายที่ควรจะถูกประณาม

เติมศักดิ์ - ขบวนการจาบจ้วงสถาบันเขารู้ว่า ถ้าสื่อในเครือผู้จัดการโจมตีพวกเขาจะมีนักวิชาการพวกนี้มาให้ท้าย

ประพันธ์ - ถูกต้อง ผลสุดท้ายเขาพยายามที่จะดิสเครดิตเครือผู้จัดการ พยายามที่จะดิสเครดิตใครก็ตามที่ออกมาปกป้องสถาบัน ใครก็ตามที่รู้สึกเป็นร้อนเป็นหนาว เป็นโกรธเป็นแค้น กับการที่มีคนไปละเมิดจ้วงจาบหยาบช้ากับสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนนั้น เขาพยายามจะทำให้คนอื่นอย่าเข้าไปเป็นพวก พยายามมึนชาทางความคิดของประชาชนว่าเป็นพวกความคิดล้าหลัง เป็นพวกที่เกาะติดอยู่กับระบอบศักดินา อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ แล้วแต่เขาจะสรรหาขึ้นมา เป็นพวกอำมาตยาธิปไตย อะไรก็แล้วแต่ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมคิดว่าวันนี้คนไทยจะต้องถามตัวเองว่า คนพวกนี้แน่จริงไหม ถ้าแน่จริงคุณต้องกล้าออกมาประกาศว่าคุณต้องการจะประกาศเพื่อล้มระบอบกษัตริย์ คุณอยากจะทำปฏิวัติแบบฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งไหม ประเทศไทยอยู่ในสังคมแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณมีความกล้าหาญจริง คุณต้องกล้าหาญเหมือนตอนที่คุณไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐ คุณต้องกล้าหาญแบบนั้น แต่นี่เขาขี้ขลาด อยู่เบื้องหลัง ไปยุยงเด็ก นิสิต นักศึกษา ลูกศิษย์ของตัวเองให้ออกมาถือป้ายบ้าง มาไม่ยืนทำความเคารพบ้าง ใช้เว็บไซต์โจมตี เผยแพร่สิ่งที่ไม่เหมาะสม จาบจ้วงสถาบันสูงสุด จัดตั้งคนเข้าไปด่าบุคคลที่มีความสำคัญ เป็นที่เคารพ และรับใช้สถาบันสูงสุด อันนี้มันหมายความว่าอย่างไร

เติมศักดิ์ - อย่างนี้สิคือสิ่งที่เดินไปสู่ 6 ตุลา

ประพันธ์ - อันนี้คุณกำลังทำอะไร คุณกำลังละเมิดต่อสถาบัน แต่เราไม่เคยใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือ แต่โดยในฐานะของพสกนิกรและประชาชนไทย เราจำเป็นต้องปกป้องสิ่งเหล่านี้ เพราะอะไร เป็นหน้าที่โดยชอบของเราหรือเปล่า

เติมศักดิ์ - เราไม่ผิดใช่ไหมครับที่เราเดือดเนื้อร้อนใจว่าเราเห็นขบวนการแบบนี้ เราไม่สบายใจ

ประพันธ์ - ถามว่านักวิชาการเหล่านี้ไม่ได้สนับสนุนส่งเสริมคนที่ปกป้องสถาบันและต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับไปสนับสนุนคนที่กระทำไม่ถูกต้อง จึงมีคำถามว่าคุณต้องการอะไร คุณยังคิดว่าประเทศไทยอยู่ในระบอบศักดินาที่คุณอยากจะปฏิวัติอีกรอบหนึ่งไหม ถ้าคุณคิด คุณก็บอกมาสิ คุณมีความกล้าหาญพอหรือเปล่า แต่ในทัศนะของเรา ของผมก็ดี ผมมองว่าประเทศไทยไม่ใช่อยู่ในยุคศักดินาล้าหลังแล้ว มันอยู่ในยุคทุนนิยมล้าหลัง เพราะฉะนั้นถ้าจะปฏิวัติมันต้องล้มระบอบทุนนิยมล้าหลัง คุณขายมือถือเครื่องเป็นแสน เอาเปรียบประชาชน ราคาข้าว ราคาน้ำตาล ราคาข้าวแพงขึ้น ใครได้ นายทุนได้ หรือศักดินาได้ หรือขุนนางได้ ถามคำถามง่ายๆ น้ำตาลขึ้น ก.ก.ละ 5 บาท อำมาตยาธิปไตยคนไหนได้ นายทุน หรือศักดินาคนไหนได้ คุณช่วยบอกผมหน่อยสิ ราคายางพารา ราคาสินค้า ที่ประชาชนต้องแบกรับ ราคาเครื่องอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ใครได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นคำถามคือประชาชนตกอยู่ภายใต้ระบอบอะไร จะต้องตอบคำถามตรงนี้ก่อน ถ้าจะปฏิวัติจะเปลี่ยนแปลง เป้าหมายคุณอยู่ที่ไหน คุณจะโค่นล้มใคร คุณจะเอาชนะใคร สถานการณ์ที่มีขบวนการพยายามจะมาชักธงว่าขณะนี้ระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ดี ระบอบสถาบันก็ดี เป็นอุปสรรคขัดขวางในการพัฒนาประเทศก็ดีนั้น คุณทำเพื่อปกป้องทุนนิยมสามานย์ที่กำลังรีดเนื้อเถือหนังประชาชนอยู่ แล้วก็เบี่ยงเบนประเด็นให้ประชาชนเข้าใจผิด มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะนำไปสู่การเมืองที่ก้าวหน้าอะไรเลย เพราะฉะนั้นทฤษฎีหรือความคิดแบบนักวิชาการที่คุณพูด คุณไปจำขี้ปากเขามา นี่มันตั้งแต่สมัยปฏิวัติพระเจ้าหลุยส์ เขาเลิกคิดกันไปตั้งนานแล้ว คุณจบไปได้แล้ว คุณต้องมาคิดว่ายุคโลกาภิวัตน์ ประเทศไทยเป็นทุนบริวารของเขาอยู่ คุณจะสลัดเอาตัวออกมายังไง ใช่มั้ย

เติมศักดิ์ - คุณอมรครับ ตกลงใครเดินไปสู่ 6 ตุลากันแน่ ระบอบทักษิณที่มีขบวนการจาบจ้วงสถาบันผ่านเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ฟ้าเดียวกันนี่หนักมาก และใบปลิวต่างๆ กับสื่อในเครือผู้จัดการ ใครกันแน่ที่กำลังเดินไปสู่เงื่อนไข 6 ตุลา

อมร - ผมคิดว่า ถามว่าใครมันชัดเจนอยู่แล้ว วันนี้ก็คือคนที่มีความสุขมีความเพลิดเพลินอยู่กับระบอบทุนสามานย์ วันนี้ผมเห็นด้วยกับพี่ประพันธ์นะ พี่ประพันธ์พูดค่อนข้างชัด แล้วก็อยากจะพูดแทนฝ่ายซ้ายจำนวนมากด้วยว่า ฝ่ายซ้ายจำนวนมากวันนี้ผ่านบทเรียนของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธที่เจ็บปวด หลายคน ผมคิดว่าหลายคน ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมได้มีโอกาสพบปะกัน วันนี้พรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีตัวตนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งแล้ว แต่มีแค่อดีตคนที่เคยเข้าร่วม และถามว่าพวกเราที่เคยเข้าร่วม เราเคยใฝ่ฝันสังคมอะไร เราก็ต้องการสังคมแบบที่ผมคิดว่า เชื่อว่าพี่น้องคนไทยทุกคนอยากจะต้องการ แต่ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ไม่สอดคล้องมันจึงทำให้การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยล้มเหลว วันนี้เราเข้าใจดีถึงวัฒนธรรมและความเป็นจริงของสังคมไทย สถาบันเป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องคนไทย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติของทุกคนที่มีความเป็นคนไทย จะเดือดเนื้อร้อนใจ ในกรณีที่ถ้ามีใครมาทำให้สถาบันนั้นต้องเสื่อมเสีย และจริงๆ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา รัฐธรรมนูญของเราทุกฉบับก็ทรงตราไว้ เป็นกฎหมายด้วยซ้ำ เป็นหน้าที่ของคนไทย ที่จะต้องช่วยกันปกป้อง สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ก็คือว่า ผมเห็นด้วยและค่อนข้างชัดเจนว่านี่เป็นกลอุบายที่แยบยลที่สุดที่ฝ่ายซ้ายกำลังบิดเบนประเด็นในการที่เราจะสร้างประชาธิปไตยให้มันเกิดขึ้นในสังคมไทย

เติมศักดิ์ - ตั้งใจบิดเบนเหรอครับ

อมร - ตั้งใจบิดเบน เพื่อในการที่จะปกป้องและคุ้มครองระบอบทุนนิยมสามานย์ที่พวกเขาลิงโลดและได้ผลประโยชน์ ผมพูดตรงๆ เลยว่า ฝ่ายซ้ายทั้งหลายที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายคนได้รับการเคลียร์หนี้สินส่วนตัว หลายคนได้รับการแก้ไขปัญหา ด้วยทรัพย์สินของนายใหญ่ ผมอนาถใจ วันที่เห็นการเคลื่อนไหวของหมอเหวง กับพี่จรัล ที่หน้าสภา วันนั้นใส่เสื้อแดงไป บอกว่าจุดยืนของกลุ่มนี้คือไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านรัฐประหาร วันนี้ต้องการสร้างประชาธิปไตย ต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย คุณไปยื่นรายชื่อให้สภาในวันนั้น ถ้าคุณบอกว่าปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญที่มีวิญญาณประชาธิปไตย มีกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย วันนั้นทำไมคุณไม่ยื่นล่ะว่าให้มีการตั้ง ส.ส.ร. ไปยื่นทำไมให้ ส.ส.เป็นคนเข้าไปแก้รัฐธรรมนูญ นี่มันก็สะท้อนชัดว่าคุณเป็นแค่เครื่องมือของการเคลื่อนไหวของการเมืองในระบอบสภาเท่านั้นเอง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมกำลังอยากจะ บอกตรงๆ ว่าถ้าสมัยก่อน ใส่หมวกเลย มองว่าพี่ๆ ทั้งหลายวันนี้กำลังทำตัวเป็นซ้ายทารก ซึ่งมันควรจะหมดยุคแล้ว และกำลังแพร่ยาพิษในการมอมเมาสังคมทั้งสังคมให้หลงใหลได้ปลื้ม ทำให้ประเด็นในการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้รักชาติ รักประชาธิปไตยอื่นๆ ในวันนี้ ที่กำลังทนเห็นการโกงกิน การคอร์รัปชั่นไม่ไหว

วันนี้ 3 เดือน คุณเติมศักดิ์ รัฐบาลชุดนี้ไม่พูดถึงความผิดของคุณทักษิณที่กำลังอยู่ในกระบวนการในการที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ การขึ้นราคาอ้อย การขึ้นราคาน้ำตาล ถามว่าใครได้ประโยชน์ และใครต้องมาแบกรับภาระ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถามว่ามีการคอร์รัปชั่นหรือไม่ ผมคิดว่าสังคมทั้งสังคมรู้ดีว่ามีหรือไม่มี และหลายสิ่งหลายอย่างในวันนี้ รัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมา วันนี้ก็กำลังเดินไปตามเส้นทางเดิมของคุณทักษิณหมดเลย พยายามใช้เผด็จการรัฐสภา และใช้ความเหิมเกริมเสียงข้างมากอย่างไม่อับอาย ปรากฏการณ์วันนี้ จริงๆ เมื่อวานนี้ อย่างที่เมื่อวานนี้ การที่สภาทาส ผมต้องเรียกว่าสภาทาสอีกแล้วสิ ส.ส.ผมว่าไม่น่าจะเรียกว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ 283 คน ลงมติเลือกประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าคนๆ นี้มีความผิดติดตัวอยู่ เขาเองก็ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ากรมที่ดินก็ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ที่ดินตรงนี้มีปัญหา เขาไม่มีหน้าที่แก้ ถ้าจะแก้ก็คือให้รถไฟมาฟ้อง เขาบอกว่าฟ้องผมมาสิ 3 ศาล ผมสู้ แต่ในวันนี้ผมขอเป็นประธานสภาก่อน วัฒนธรรมแบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาในยุคของคุณทักษิณมาครั้งหนึ่งแล้ว แล้วในวันนี้ในยุคของคุณสมัครก็กำลังเดินแบบอย่างแบบนี้ทำให้คนไทยทั้งสังคมไทยวันนี้เริ่มเกิดค่านิยม บอกไม่เป็นไรหรอก สีเทาหน่อย มันเข้ามาปกครองประเทศ ขอให้เราได้บางส่วนแต่มันโกงกิน กลายเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือความสามานย์ที่พรรคบรรดานักการเมือง กับพรรคการเมืองซึ่งอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยในวันนี้กำลังทำลายประเทศอยู่ ถามว่า อ.สมศักดิ์ ไม่ลงไปศึกษา ลงไปทำงานวิจัยเรื่องพวกนี้บ้าง ไปทำปริญญา ทำวิทยานิพนธ์ หรือไปติดตามคิดค้นและให้การศึกษาชาวบ้านบ้าง นี่คือความเจ็บปวด ผมอยากจะถามว่า คุณมานั่งคิดประเด็นที่จะเคลื่อนไหวเพื่อที่จะทำลายความชอบธรรมของสถาบัน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ มันแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด

เติมศักดิ์ - การที่สื่อในเครือผู้จัดการเป็นห่วงปรากฏการณ์ที่บ่อนเซาะ ทำลายสถาบัน การที่สื่อในเครือผู้จัดการตั้งข้อสงสัยและเป็นห่วง กลายเป็นว่า อ.สมศักดิ์ เขียนว่า เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลถึงขั้นน่าหัวเราะ และเป็นโรคหวาดระแวง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้มันชัดมาก จนน่าจะพ้นคำว่าหวาดระแวงแล้วนะ พี่อมรคิดว่าอย่างนั้นใช่มั้ยครับ

อมร - คือปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นอย่างคุณสมศักดิ์ก็ดี คุณธงชัย หรือนักวิชาการเหล่านี้ ที่กลายเป็นนักวิชาการซึ่งอยู่ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามประชาชน และพยายามที่จะอยู่ฝ่ายกลุ่มคนที่มีความคิดในเชิงต่อต้านสถาบันด้วยซ้ำไป พฤติกรรมและการกระทำของคุณต่างหากซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ คำถามก็คือว่า ผมไม่เคยแปลกใจเลยว่าสถาบันก็ดี เป็นอุปสรรคต่อการขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยตรงไหน สถาบันเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อกระบวนการการพัฒนาประเทศชาติ พัฒนาสังคม ตรงไหน เป็นขบวนการขัดขวางและเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มีเลย แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรค ขัดขวางต่อระบอบประชาธิปไตยก็คือการใช้อำนาจที่เป็นเผด็จการของกลุ่มทุนหรือกลุ่มการเมืองที่เข้ามามีอำนาจ คุณไม่ต่อต้าน คุณไม่คัดค้าน ขบวนการใช้อำนาจไปในเชิงการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ว่าทุจริตคอร์รัปชั่นในเชิงนโยบาย หรือคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบที่ปรากฏ มันเห็นชัด คุณไม่เคยต่อต้าน

เติมศักดิ์ - ที่เขาไม่ต่อต้าน เท่าที่ผมสังเกตบทความของพวกเขา ของ อ.สมศักดิ์ ของ อ.เกษียร ส่วนใหญ่เขาให้เหตุผลว่าอย่างน้อยคนพวกนี้ก็มาจากประชาชน มาจากการเลือกตั้ง มี Accountability กับประชาชน ขึ้นกับประชาชน

ประพันธ์ - เป็นความไร้เดียงสาของเขาเองซึ่งน่าหัวเราะที่สุด เพราะเขาทำตัวเป็นอดีตนักกิจกรรม นักฝ่ายซ้าย รู้เรื่องการเมืองดี แต่ทำเป็นพูดจาแกล้งโง่ไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงนักการเมืองเหล่านี้คุณไม่เคยตรวจสอบเขาได้เลย Accountability ของคุณน่ะมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว แต่คุณทำเป็นโง่และน่าหัวเราะ มีระบบไหนบ้างที่ตรวจสอบคุณทักษิณได้ แม้แต่คดีซุกหุ้นมันยังหลุดไปได้ คดีทุกคดี แม้กระทั่งทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่กลไกที่เอาจริงเอาจัง กระบวนการยุติธรรมไม่เข้มแข็งจริงจัง ทักษิณจะอยู่ในสถานะนี้หรือไม่ เพราะฉะนั้นความพยายามที่จะล้มกระบวนการยุติธรรมมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสุดท้ายก็คือที่เราเห็นกันอยู่เต็มตาทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ใช่ว่าขบวนการของฝ่ายประชาชนหรือฝ่ายพันธมิตรฯ หรือเครือผู้จัดการไปสร้างขึ้น แต่ขบวนการที่มีการขับเคลื่อนไปเพื่อพุ่งเป้าไปสู่การพยายามที่จะดิสเครดิต หรือจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง เป็นขบวนการที่ทำมาโดยต่อเนื่อง เขาเหล่านี้ นักวิชาการเหล่านี้ ต้องกล่าวหาและประณามได้เลยว่าคุณก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนั้นด้วย คุณไม่ต้องปฏิเสธ หรือคุณจะปฏิเสธ คุณมาบอกผม ผมจะได้บอกว่าข้อเขียนของคุณเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้คนไปทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นมันไล่มาได้ เอาช่วงเดือนเดียว 7 เมษายน วันจักรี คุณเอาอะไรมาฉายทางช่อง 11 กระบวนการการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ที่เนปาลก็ดี คุณเอามาฉาย วันที่ 10 , 13 เมษายน แกนนำ นปก.อย่างนี้ เอามาฉาย นายภูมิวัฒน์ นุกิจ พร้อมพวก ท้าทายพระราชอำนาจ เข้าไปยืนถวายฎีกาต่อราชเลขาฯ กรณีตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง พวกนี้ ไม่ยืนถวายความเคารพ หมายความว่าอย่างไร รวมทั้งนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปพูดจาที่สถาบันผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รวมทั้งคุณด้วย ที่เป็นนักวิชาการ มันเป็นขบวนการเดียวกันหมด ไอ้พวก นปก.ที่พยายามจาบจ้วงสถาบัน รวมทั้งแผ่นซีดี เทป ที่ออกไปด่าป๋าเปรม และไปร้องเพลงเชิดชูบูชาทักษิณ เป็นเทวดา

เติมศักดิ์ - รวมทั้งเนื้อหาในกระดานสนทนาของเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน

ประพันธ์ - เนื้อหาหยาบคาย ถ่อย ในเว็บไซต์ก็ถ่อย หยาบคาย เผยแพร่เอกสารที่ไม่ควรเผยแพร่ ถามว่าพวกพันธมิตรฯ ไปทำหรือพวกคุณทำ ถ้าพวกคุณไม่ทำคุณไปปกป้องเขาทำไม คุณไม่รู้สึก รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำเหล่านี้ ต้องถามว่าคุณเป็นอะไร คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า คุณยังมีความจงรักภักดีอยู่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าหากจะมีคนไปประณามคุณ มันก็สมควรที่คุณจะต้องถูกประณาม เพราะคุณไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของคนในระบอบทักษิณเลย นี่ไม่ได้ไล่ไปถึงเว็บไซต์มนุษย ในอดีตที่คุณทำกันมาต่อเนื่อง และขบวนการเหล่านี้ไม่เคยหยุดเลย ฉะนั้นเมื่อไม่เคยหยุดเลยแสดงว่าคุณมีความตั้งใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้ใช่มั้ย ถ้าคุณตั้งใจและคิดว่านี่คือเป้าหมายใหม่ของการปฏิวัติ เพื่อจะบดบังการกระทำความชั่วของกลุ่มการเมืองที่ถูกโค่นล้มไป กลุ่มอำนาจเก่าอย่างระบอบทักษิณ หรือกลุ่มอำนาจเก่าที่กลับมามีอำนาจอยู่ในขณะนี้ คุณก็ต้องสมควรที่จะถูกประณาม และถูกหัวเราะว่าคุณกำลังทำลายประเทศชาติหรือทำลายอะไร เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมคิดว่าวันนี้มันต้องมีคำถามกับพี่น้องชาวไทยโดยถ้วนหน้าเลยว่า เราจะยืนอยู่กับการกระทำแบบนี้ หรือจะประณามการกระทำแบบนี้ ผมคิดว่าวันนี้คนที่มีความรู้ร้อนรู้หนาวและได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จำต้องออกมายืนและประณามการกระทำของคนเหล่านี้อย่างไม่ย่อท้อ และไม่ต้องไปสนใจ ถ้าหากคนเหล่านี้จะมาบอกว่าเราอิงแอบสถาบัน

เติมศักดิ์ - เป็นพวกขวาจัด

ประพันธ์ - เป็นพวกอย่างนั้น เป็นพวกอย่างนี้ อย่าไปใส่ใจ เราจำเป็นต้องอยู่กับสถาบัน และอยู่กับความถูกต้อง เพราะสถาบันอย่างน้อยที่สุดผมคิดว่ามีส่วนสำคัญในการปกป้องรักษาแผ่นดิน และพัฒนาชาติบ้านเมืองมา จนถึงทุกวันนี้ ส่วนระบอบทักษิณที่คุณปกป้องนี่ต้องถามว่าชาติตระกูลและต้นตระกูลของระบอบทักษิณ ทำอะไรให้กับประเทศนี้บ้าง นอกจากเอาไปจากประเทศนี้ มันต้องมีคำถามและคำตอบ และเลือกยืนว่าจะยืนอยู่ตรงไหน

เติมศักดิ์ - ขอพักก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวกลับมาพร้อมกับความเห็นและคำถามจากคุณผู้ชมทางบ้าน

*****************

เติมศักดิ์ - ช่วงสุดท้ายก่อนจะไปความเห็นและคำถามจากคุณผู้ชมทางบ้าน เรามีสายจากคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จะเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย สวัสดีครับคุณสนธิ

สนธิ - สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์ คุณอมร และคุณประพันธ์ คูณมี คือความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่สุดเลย ทั้ง อ.สมศักดิ์ และทั้งกระบวนการที่ไม่เอากษัตริย์ ผมเห็นด้วยกับคุณประพันธ์ คูณมี นะครับ ผมคิดว่าคนเราถ้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ และศรัทธาในความเชื่อตัวเอง ต้องการแสดงตัวเอง เหมือนกับผม ถ้าคุณประพันธ์ และคุณอมร จำได้ ผมบอกว่าผมมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้าอยู่หัวฯ และผมเชื่อมั่นศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และผมเอาธรรมนำหน้า ผมก็แสดงออกของผม แม้กระทั่งในยุคที่คุณทักษิณมีอำนาจ ผมคิดว่าไม่เป็นไรหรอกทั้งคุณสมศักดิ์ และกระบวนการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือฟ้าเดียวกัน ซึ่งน่าเสียดายเพราะว่าเจ้าของหนังสือฟ้าเดียวกัน ก็เป็นลูกหลานของคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจก็เป็นตระกูลที่เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้วก็เป็นพวกเสื่อผืนหมอนใบ เหมือนต้นตระกูลผม มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ค้าขายอะไหล่รถยนต์จนกระทั่งร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐี แล้วก็เอาเงินเอาทองที่ตัวเองมีอยู่มาให้หลานชายตัวเอง คือหลานชายตัวเองเอาเงินก้อนหนึ่งมาทำหนังสือฟ้าเดียวกัน เพื่อที่จะมาทำให้สถาบันกษัตริย์นั้นสั่นคลอนไป ผมคิดว่าไหนๆ คุณเจ้าของหนังสือฟ้าเดียวกัน ซึ่งนามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ และทาง อ.สมศักดิ์ หรือใครก็ตามที่อยากจะร่วมขบวนการ ก็เริ่มขบวนการได้เลยครับ เปิดเผยตัวออกมาว่าทางพวกคุณต้องการประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข คุณต้องการสถาบันกษัตริย์ให้หมดไปหรือคุณต้องการสถาบันกษัตริย์ไหน คุณบอกมาตรงๆ เลยดีกว่า คือผมคิดว่ามันจะไม่มีขบวนการ 6 ตุลาขึ้นมา มันจะไม่มีขบวนการที่คุณบอกว่าเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นดาวสยาม แต่กระบวนการที่แท้จริงที่เกิดขึ้น คุณจะได้รู้ว่าพลังของคนที่เอากษัตริย์ กับพลังของพวกคุณที่ไม่เอากษัตริย์ มีกี่เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่าถ้าคุณจะใช้วิธีการวัดกันง่ายๆ แบบนี้ นั่นก็เป็นวิธี 1

เรื่องที่ 2 คือเรื่องที่คุณประพันธ์ พูดน่ะถูกต้อง ว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทน แล้วมาอ้างคำว่า Accountability คุณประพันธ์ยังใช้คำพูดที่สุภาพมากเกินไป ว่าแกล้งโง่หรือเปล่า เพราะว่าคำว่า Accountability นั้น 3 เดือนที่ผ่านมา ไอ้ที่อ้างว่าได้รับเลือกมาจากประชาชนนั้น มันมี Accountability อะไรกับประชาชนบ้าง ที่เห็นชัดๆ คือมันมี Accountability ก็คือว่ามันให้ประชาชนซื้อน้ำตาลแพงขึ้นกิโลฯ ละ 5 บาท และมันให้ประชาชนซื้อข้าวแพงขึ้น จาก 80 บาท เป็น 3-4 ร้อยบาท อันนี้เขาเรียกว่า Accountability หรือเปล่า คุณสมศักดิ์ เพราะฉะนั้นแล้ว Accountability คือการที่ทำให้ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข อยู่ดีกินดี และจะต้องไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ว่าพวกเหลือบ กระสือพวกนี้ คุณสมศักดิ์กล่าวอ้างกับการซึ่งอ้างว่าคนพวกนี้ได้รับเลือกตั้งเข้ามา จะต้องเคารพสิทธิ ต้องเคารพความเห็นประชาชน แต่คุณสมศักดิ์กลับปิดตาทั้งสองข้างในการที่ไอ้พวกนี้มาสูบเลือดสูบเนื้อจากประชาชน เมื่อกี้ผมดูรายการยามเฝ้าแผ่นดิน คุณคำนูณ สิทธิสมาน เอาข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือฟ้าเดียวกัน ที่เขียนบอกว่า 300 ล้านบาท คือ 300 ล้านบาท เป็นเงินซึ่งเข้าตั้งไว้เป็นงบประมาณในการที่ทำพิธีพระราชทานเพลิงศพของสมเด็จพระพี่นางฯ รวมไปหมดทุกอย่าง ทั้งการก่อสร้างพระเมรุ ทั้งการก่อสร้างทั้งหมด เขาจงใจบอกว่า 300 ล้านบาทนี้ที่จะเอามาทำพระศพนั้น ทำอะไรได้บ้าง เช่น ให้เด็กเรียนหนังสือได้กี่คน อย่างนี้ๆ งั้นผมถามกลับบ้าง ผมถามเจ้าของฟ้าเดียวกัน และคุณสมศักดิ์บ้าง ว่าเงิน 73,000 ล้าน ที่คุณทักษิณไม่ยอมเสียภาษีกว่าหมื่นล้านผมถามว่าหมื่นกว่าล้านทำอะไรได้บ้าง หมื่นกว่าล้านี่มันมากกว่า 300 ล้านบาท ประมาณ 60 เท่า เพราะฉะนั้นแล้วอะไรก็ตามที่คุณมาอ้างการซึ่งทำพระศพของสมเด็จพระพี่นางฯ นั้น 300 ล้านบาท สามารถจะทำให้คนมีการศึกษาได้เพิ่มอีก 20 ล้านคน ผมก็สวนคุณได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นหมื่นกว่าล้านที่คุณทักษิณหนีภาษี ซึ่งคุณไม่เคยพูดเลยแม้แต่แอะเดียว คุณไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งผมยังสงสัย ผมไม่เข้าใจ หรือจริงๆ แล้วพวกคุณแอบได้รับเงินเดือนจากคุณทักษิณและระบอบทักษิณ เพราะฉะนั้นผมว่าถึงเวลาแล้ว ทั้งคุณสมศักดิ์ และกระบวนการที่ไม่เอากษัตริย์ ต้องกล้าเหมือนกับที่คุณประพันธ์พูด เผยตัวเองออกมา อย่าขี้ขลาดตาขาวสิครับ ผมมีความเห็นแค่นี้ครับ ขอบคุณครับ

เติมศักดิ์ - ขอบคุณครับ ผมอยากต่อคุณสนธินิดหนึ่งนะครับ คือเวลาอ่านงานของคุณสมศักดิ์ กับ อ.ธงชัย วินิจจะกูล มักจะใช้ตรรกะว่าอย่างน้อยพวกนักการเมืองก็วิจารณ์ได้ เขาใช้คำนี้เสมอ อย่างคำว่า Accountability อย่างน้อยพวกนี้ก็วิจารณ์ได้ จิกหัวด่าได้ เขาใช้คำนี้เสมอนะครับ ตรรกะแบบนี้ถูกหรอ

ประพันธ์ - ผมว่าตรรกะอย่างนี้มันไม่ถูกหรอกครับ จริงๆ แล้วไม่ว่าจะนักการเมือง หรือไม่ว่าจะมาจากเผด็จการ หรือมาจากการปฏิวัติ คนไทยเขาก็ไม่กลัวอยู่แล้ว ทหารเราจะยืนหน้าสู้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องเอาหลักการแค่นี้มาอธิบาย

เติมศักดิ์ - เขาบอกว่าอำมาตยาธิปไตยแตะต้องไม่ได้

ประพันธ์ - มันเป็นการเอามาอธิบายเพื่อปกป้องความชั่ว คุณก็ได้แค่วิพากษ์วิจารณ์ แตะนิดแตะหน่อย มันไม่ใช่สาระ สำคัญคือคุณเอาคนชั่วเหล่านี้มาลงโทษได้หรือเปล่า ระบอบประชาธิปไตยเคยเอานักการเมืองโกงเหล่านี้มาติดคุกได้ไหม วันนี้ประชาธิปไตยประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปถึงขั้นดีขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าคุณทักษิณติดคุก และถูกลงโทษฐานโกง ฐานเป็นอาชญากรของประเทศ เหมือนเช่นเกาหลี เพราะฉะนั้นเกาหลีเขาพัฒนาเพราะระดับประธานาธิบดีเขายังเอาเข้าคุกได้ จิตสำนึกของคนในชาติและนักการเมืองที่คิดจะหาเศษหาเลย หากิน อย่างทุกวันนี้ ที่ซุกซ่อนเงินสดไว้ตามบ้านของตัวเอง ขึ้นราคาน้ำตาล ราคาข้าว แล้วตัวเองได้ประโยชน์ ไอ้พวกนี้มันต้องลากเข้าคุกให้หมด ต้องลงโทษให้หนัก ประชาธิปไตยมันจะถึงเกิดขึ้น คนมันถึงจะมีสำนึก นักการเมืองถึงจะมีสำนึก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาคนเหล่านี้ ถ้าไม่โดนลงโทษไม่มีวันที่จะรู้สำนึก ถ้าตราบใดยังลงทุนและมีอำนาจมาโกงได้ นักการเมืองก็จะลงทุนและมาโกงต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อไรลงทุนโกงแล้วถูกลงโทษสถานหนัก ติดคุกติดตารางถูกยึดทรัพย์ พวกนี้จะเข็ดหลาบ ไม่กล้า

เติมศักดิ์ - คุณอมร ผมขอต่อเนื่องจากคำถามเมื่อกี้ อ.สมศักดิ์ กับคณะและนักวิชาการในแนวนี้มักพูดเสมอว่าอย่างน้อยนักเลือกตั้ง นักการเมือง วิจารณ์ได้ ต่างกับอำมาตยาธิปไตยศักดินา แตะต้องไม่ได้ เขามักจะใช้ตรรกะนี้มาอธิบาย ความชอบธรรมของนักการเมือง

อมร - ก็คืออย่างที่ผมพูดไปแล้ว ซ้ายทารก ไร้เดียงสา ความคิดนี้เป็นกลไก คำว่าความคิดเป็นกลไกคือมักจะยึดมั่นถือมั่นต่อนิยามหรือทฤษฎีอย่างตายตัว โดยไม่มองให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริง พี่ประพันธ์พูดชัดเมื่อกี้ ก็เป็นเรื่องที่ผมอยากจะพูดเหมือนกันว่า อุปสรรคการเมืองไทย ความเจริญของบ้านเราที่วันนี้เรารู้สึกว่ามันไปช้าเหลือเกิน และพี่น้องประชาชนเราจะต้องทนอยู่ด้วยความยากลำบาก ถามว่ามันเป็นเพราะผลพวงที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่หรือ ใช่หรือไม่ หรือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไปทำอะไรที่ขัดขวางต่อความเจริญ ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมานะ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ผมถามว่านี่คือแนวคิดแบบเศรษฐกิจพึ่งตัวเองของโลกสังคมนิยมหรือไม่ สมศักดิ์จะต้องตอบอย่างนี้ นี่คือความเป็นเป้าหมายของเราในอดีต 30 กว่าปีที่ผ่านมา พี่ประพันธ์เหมือนกัน เราเคยเข้าร่วมกับซีพีที เราต้องการเห็นสังคมไทยยืนอยู่อย่างเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจ พี่น้องประชาชนต้องพึ่งลำแข้งลำขาและเกื้อกูลกัน เป็นสังคมที่มีภราดรภาพ วันนี้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะว่าระบอบทุน โดยเฉพาะทุนสามานย์ได้เปลี่ยนจิตสำนึกของคน พยายามทำให้สังคมไทยติดยึดอยู่กับเงินคือพระเจ้า และหลงไปอยู่ในบริโภคนิยม วันนี้เราต้องสูญเสียทุนที่เกิดขึ้นโดยคนไทยที่พยายามจะเติบโตด้วยตัวเอง วันนี้โตไม่ได้ พอโตไปถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปเผชิญกับทุนต่างประเทศซึ่งวันนี้ถามว่าใครนำพาทุนต่างประเทศเหล่านี้เข้ามาครอบงำและทำให้สังคมไทยวันนี้ไม่สามารถพัฒนาได้ นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่พี่น้องเหล่านั้นซึ่งเคยมีความคิด มีทฤษฎี และมีความมุ่งมั่นและอ้างตัวเองว่าอยากเห็นสังคมเป็นประชาธิปไตย อยากเห็นพี่น้องกินดีอยู่ดี อยากเห็นความเสมอภาค ต้องมาคิดค้นคว้าและต่อสู้ในเรื่องพวกนี้ แต่วันี้คุณกลับไปคุยเรื่อง พยายามไปหยิบเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เพื่อที่จะมาทำลายความชอบธรรมของขบวนการที่เรากำลังจะสร้างสังคมแบบนี้

วันนี้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง แต่เราต้องการเป็นภาคประชาชนที่สามารถตรวจสอบและควบคุมรัฐ ควบคุมในเชิงนโยบายรัฐ หรือทำให้ทิศทางบริหารประเทศมันไปในทิศทางที่พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข นี่คือเป้าหมายและสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำอยู่ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถามว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้ใครที่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรค ก็คือทุนใช่มั้ย เพราะเราเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ขัดต่อผลประโยชน์ทุนสามานย์ ทีนี้การที่พวกคุณมาดิสเครดิตหรือพยายามที่จะลากจูงพวกเราเข้าไปในความเชื่อที่ถูกๆ ผิดๆ ให้พี่น้องทั้งสังคมเข้าใจเราผิด

วันนี้การกล่าวหาว่าผู้จัดการ กับพันธมิตรฯ กำลังทำตัวเป็นยานเกราะ และดาวสยาม นี่คือการใส่ร้ายป้ายสี อย่างหน้าด้านๆ ซึ่งผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่าง อ.สมศักดิ์ ซึ่งเคยติดอาวุธทางความคิดตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบ ทำหนังสือปริทรรศน์ ทำหนังสือในยุคการเกงขาสั้น และในวันนี้มามีความคิดแค่หางอึ่ง เสียใจมากๆ

เติมศักดิ์ - เป็นข้อกล่าวหาที่มักง่ายเกินไป

อมร - มักง่าย เป็นข้อหาที่มักง่ายและโยนใส่พวกเราโดยที่ไม่จำแนกแยกแยะ สิ่งที่เราต่อสู้วันนี้เราต่อสู้ใหญ่กว่านั้น คือเรากำลังต่อสู้ว่ากระบวนการยุติธรรมในวันนี้จะต้องเดินไปอย่างมีอิสระ รัฐบาลทักษิณในอดีตจะต้องถูกตรวจสอบและนำมาลงโทษ สิ่งที่รัฐบาลคุณสมัครกำลังทำอยู่ในวันนี้กำลังสร้างประเพณีที่เลวร้ายที่สุดให้กับการเมืองให้ลูกหลานเราหลงใหลและเข้าใจผิด วันนี้เขาเห็นแบบอย่างจากนายกรัฐมนตรีพูดด่าใครก็ได้ในรายการโทรทัศน์ทุกวัน ถามว่าลูกหลาน ถ้าเราไม่ให้ความคิดอีกมุมหนึ่ง พวกเขาจะคิดอย่างไร

เติมศักดิ์ - คุณประพันธ์ล่ะครับ จะฝากอะไรไหม

ประพันธ์ - ผมคิดว่าวันนี้มันมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศเรา คนไทยกำลังเผชิญทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือเราจะอยู่กับระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย อย่างที่พวกนี้กำลังเผยแพร่ความคิดอยู่ จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือจะอยู่กับระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะฉะนั้นแนวทางของเขา ไม่ว่าคุณจักรภพจะพยายามเชิดชูเทียบเคียงคุณทักษิณให้ใกล้เคียงกับคุณปรีดี เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ เหมือนเป็นพระเจ้าของนายจักรภพและบรรดานักวิชาการเหล่านี้ ว่าระบอบทักษิณมันเป็นเหมือนพระเจ้าของเขา เหมือนผู้นำทางความคิดคนใหม่ ผู้นำทางระบอบประชาธิปไตยที่มีทักษิณเป็นผู้นำ ผมคิดว่าอันนี้กับระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันเป็ระบอบที่ดีงามและเป็นที่ยอมรับ และเป็นต้นแบบอย่างประเทศอังกฤษ เขาไม่ได้เดือดร้อนกับระบอบสถาบันเพราะสถาบันไม่เคยเป็นปัญหาหรืออุปสรรค ต้องยอมรับว่าสถาบันกษัตริย์ของประเทศไทยเป็นสถาบันที่มีส่วนในการที่จะกอบกู้แผ่นดินและสร้างความดีงามให้กับบ้านเมืองมายาวนาน และเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก และประจักษ์ต่อพี่น้องชาวไทยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้แทบไม่ต้องไปพูดถึงหรืออธิบายเลย แต่ว่าคนเหล่านี้กำลังพยายามทำให้สิ่งที่ดีงามเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดไปจากการเชื่อถือหรือยอมรับ ถ้าหากว่ามีเหตุผลข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับได้ ไม่เป็นไร แต่มันเป็นการบิดเบือน ใส่ร้าย และสร้างเหตุการณ์หรือสถานการณ์ และพยายามอธิบายเอาทฤษฎีมาอธิบายเพื่อปกปิดความชั่วของนักการเมืองโกงที่เขาเชิดชูบูชา ซึ่งตรงนี้จึงเป็นคำถามว่าพี่น้องประชาชนไทยเวลานี้ เราจะยืนอยู่กับอะไร เราจะไปทางไหน ท่านจำเป็นจะต้องกล้าหาญและจำเป็นจะต้องลุกขึ้นมาเพื่อตอบตัวเองว่าเราจะอยู่กับระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือจะยอมจมปลักอยู่เป็นทาสของกลุ่มทุนเหล่านี้ ไม่ว่าราคาข้าว ราคาน้ำตาล ราคาน้ำมันจะขึ้น จะแพง ตลาดหุ้นจะดีเท่าไร ถามว่าพี่น้องประชาชนคนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไหม นอกจากสร้างอาณาจักรให้กับมหาเศรษฐี กลุ่มทุนที่มีความละโมบที่ไม่มีที่สิ้นสุด และกำลังคิดว่าประเทศไทยเป็นตลาดเป็นสินค้าที่เขาจะเชิญชวนนักลงทุนเข้ามากอบโกยลงทุน ตรงนั้นตรงนี้ ไม่ว่าอะไร ซึ่งทักษิณกำลังทำตัวเป็นนายหน้าที่จะหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อพวกพ้อง เพราะฉะนั้นผมจึงอยากให้พี่น้องประชาชนต้องกลับมาคิดทบทวนว่าถึงเวลาที่เราจะต้องกล้าหาญที่จะเลือก ประกาศ และแสดงจุดยืนของเราว่าถ้าหากเราปล่อยให้กระบวนการเหล่านี้ยังเดินคืบหน้าต่อไป สังคมไทยซึ่งมาถึงยุคนี้แล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้นเราจะต้องเอาบ้านเมืองของเรากลับคืนมา และเดินก้าวหน้าต่อไปในทิศทางที่ดีงามและถูกต้อง

เติมศักดิ์ - ก็ขอย้ำเหมือนกับทั้งสองท่านนะครับ ในฐานะสื่อของเครือผู้จัดการว่าการแสดงความเป็นห่วงเป็นใย หรือการแสดงความเป็นห่วงต่ออันตรายของกระบวนการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ในขณะนี้เราแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเป็นการแสดงออกด้วยความห่วงใยจริงๆ และเราก็ไม่อยากให้เกิด 6 ตุลา 19 เราไม่ได้เดินไปสู่จุดนั้น แต่เราเป็นห่วงว่าขบวนการต่างๆ เหล่านี้ต่างหากที่กำลังนำพาสถานการณ์ไปสู่ 6 ตุลา 19 วันนี้ขอบคุณทั้งสองท่านครับ สวัสดีครับ
ประพันธ์ คูณมี

อมร อมรรัตนานนท์


กำลังโหลดความคิดเห็น