“จักรภพ” หลุดด่า “เลว” คนตั้งข้อสงสัยเอ็นบีที อ้างเสนอข่าว “เนปาล” เพราะคนสนใจทั่วโลก ขู่ฟ้องคนเอามาเป็นประเด็นฐานหมิ่นเบื้องสูง ส่วนกรณีถูกแจ้งความฐานหมิ่นสถาบัน อ้าง ตร.แปลผิด ยังด่า “อมาตยาธิปไตย” ไม่เลิก ซัดเป็นพวกผู้ขาดความจงรักภักดี แถมตอบไม่ชัดให้ความสำคัญ “ป๋าเปรม” อย่างไร โบ้ยพันธมิตรฯ ดึงองคมนตรีโยงการเมือง ด่าแหลกไม่มีพันธมิตรฯ บ้านเมืองสูงขึ้น ฟุ้งออก กม.ห้ามสื่อรัฐหนุนยึดอำนาจ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการถามจริง-ตอบตรง
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ถามจริง ตอบตรง” ทางเอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายจอม เพชรประดับ เกี่ยวกับประเด็นที่ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที นำเสนอข่าวการเลือกตั้งที่ประเทศเนปาล ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ตั้งข้อสังเกตว่า การนำเสนอดังกล่าวเป็นการกระทำที่พยายามที่จะก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนรู้สึกว่าคนที่พยายามจะนำสถาบันระดับสูงมาสู่เกมการเมืองของตนเอง ตนตอบได้เลยว่าเป็นคนเลว ดังนั้นการที่กลุ่มพันธมิตรฯ นำข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปพูดในการสัมมนาที่ ม.ธรรมศาสตร์ อีกทั้งยังมีการกล่าวหาสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ตนจึงต้องออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าความจริงคืออะไร
นายจักรภพ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าวการเลือกตั้ง ที่ประเทศเนปาล ก็คือ ในระหว่างที่ราชอาณาจักรเนปาล ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างจะรุนแรง อันเนื่องมาจากการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการประท้วงใหญ่ ที่ทำให้การยึดครองอำนาจของกลุ่มเดิมทลายตัวลงไป เรียกได้ว่าผลจากเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้สื่อทั่วโลกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ และสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ก็เป็นสื่อแขนงหนึ่งที่นำเสนอข่าว โดยการนำเสนอข่าวก็คือแปลข่าวจากสำนักข่าวภาษาอังกฤษ ประกอบกับการค้นคว้าจากที่ต่างๆ จนปรากฏเป็นรายงานข่าวในเรื่องดังกล่าว และในเวลาเดียวกันกับที่ สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที นำเสนอข่าวนี้ ทุกช่องในเมืองไทยนำเสนอหมด และบางช่องยังไปไกลถึงขนาดส่งทีมข่าวไปทำข่าวถึงประเทศเนปาลด้วยซ้ำ ดังนั้นหากเทียบกับช่องอื่นแล้ว เอ็นบีที ยังทำน้อยกว่าหลายช่องมาก แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าภูมิใจที่เอ็นบีที ไม่ตกข่าวที่น่าสนใจอย่างนี้
การนำเสนอข่าวนี้ เป็นการคิดและนำเสนอของฝ่ายข่าวของเอ็นบีทีเอง เพราะทางรัฐบาลและตนเองไม่ได้มีส่วนในการสั่งการด้านข่าวใดๆ เลย และตนก็เคยให้สัญญาไว้แล้วว่า ว่าการดำเนินการใดๆ ของเอ็นบีที ภาครัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างแน่นอน ดังนั้นการนำเสนอข่าวนี้ เป็นวิจารณญาณ ของฝ่ายข่าวเอ็นบีที เอง และไม่ได้ทำเกินเลยไปกว่าความเหมาะสมเลย
ต่อข้อถามที่ว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง นายจักรภพกล่าวว่า การดำเนินคดีในฐานของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ น่าจะนำมาใช้ในบุคคลที่พยายามจะดึงเรื่องของสถาบันเข้ามาในการเมืองด้วย กล่าวคือ นอกจากเราจะตั้งขอสงสัยต่อคนที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว ในขณะเดียวกันคนฟ้อง หรือผู้ที่นำเรื่องนั้นๆ ขึ้นมาเป็นประเด็นก็ควรจะถูกตั้งคำถามให้มากเท่าๆ กับคนที่ถูกกล่าวหาด้วยว่าเพราะอะไรไปพบเห็นอะไรมาจึงหยิบเรื่องนั้นมาเป็นประเด็น
** อ้าง ตร.ฟ้องหมิ่นเบื้องสูง แปลผิด
นายจักรภพ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ตนเองถูกนายตำรวจคนหนึ่งเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยนายตำรวจคนดังกล่าวได้แปลคำบรรยายมาจากภาษาอังกฤษที่ตนได้บรรยายไว้กับสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อ 1 ปีก่อนว่า เมื่อตนรู้ข่าวนี้ตอนแรกก็รู้อยู่แล้วว่าตนไม่ได้พูดอย่างแน่นอน แต่ก็ได้นำวีซีดีคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวกลับมาฟังและแปลอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ จึงพบว่านายตำรวจคนนั้นแปลคำผิดความหมาย คือแปลคำว่าระบบอุปถัมภ์ เป็นคำว่า พระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่ใช่เพราะในงานนั้นตนพูดถึงระบบอุปถัมภ์ในสังคม ไม่ใช่พระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะตั้งใจแปลผิดหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่สำหรับเรื่องนี้ตนยืนยันว่าจะสู้ความทุกที่ และตอนนี้ตนก็มีโครงการจะจัดพิมพ์ข้อความที่ถูกฟ้องในครั้งนี้ ทั้งภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาษาไทย จัดพิมพ์ให้คนทั่วไปที่สนใจเรื่องนี้ได้ดู ซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมการอยู่
อย่างไรก็ตาม นายจักรภพยังแสดงความคิดเห็นต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย ว่าเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์เลย แต่กลับทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน ทำตัวเสมือนว่าอยู่ใกล้ แล้วก็มักจะแสดงตัวว่าตนจงรักภักดีมากกว่าใคร แล้วก็กล่าวหาว่าคนอื่นไม่จงรักภักดีเท่า ซึ่งเราเรียกระบบนี้ว่า “การผูกขาดความจงรักภักดี” คนเหล่านี้เองที่เรียกว่า “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งคนเหล่านี้ มีสิทธิพิเศษทางสังคมมากมาย แต่หากย้อนประวัติไปดูดี ๆ จะพบว่าคนเหล่านี้บางคนไม่มีงานทำที่แน่นอน เป็นหลักแหล่ง แต่กลับมีเงินทองมากมาย และระบบแบบนี้เป็นได้ทุกคนที่ยอมรับตัวเองให้อยู่ในระบบแบบนี้ ทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชนก็มี
ต่อคำถามที่ว่า รัฐบาลชุดนี้มองบทบาทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีอย่างไร นายจักรภพกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในอันดับสูงสุด ดังนั้นองค์ประกอบใดก็ตามที่เป็นการถวายงานของสถาบันระดับสูง ก็เป็นระบบที่มีความสำคัญ ซึ่งในช่วงนี้ นายจักรภพได้อัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า "องคมนตรีนั้น มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแด่พระเจ้าอยู่หัว ถ้าไปให้คำปรึกษาแก่คนอื่นก็ถือว่าตอนนั้นไม่ได้เป็นองคมนตรี" ดังนั้นรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ที่จะมองเป็นอย่างอื่น ก็ต้องมองตามนี้
**อ้างไม่มีพันธมิตรฯ บ้านเมืองสูงขึ้น
ส่วนกรณีที่ทางกลุ่มพันธมิตร นำเรื่องขององคมนตรีมาโยงกับเรื่องของการเมืองนั้น นายจักรภพกล่าวว่า “ถ้าหากไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซักกลุ่ม ผมว่าบ้านเมืองก็สูงขึ้นไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าหมกมุ่นอะไรไปถึงไหน ในการที่จะใช้คำหยาบคาย ในการเสี้ยมให้คนเค้าแตกแยก ในการที่ไม่ยอมให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ที่พูดแบบนี้ผมไม่ได้หมายความว่าคนจะแสดงความคิดทางประชาธิปไตยไม่ได้ แต่บางครั้งการให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ครบถ้วน หรือให้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความแตกแยก และพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ติดต่อกันมา 3-4 ปี ผมว่าน่าจะพอได้แล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงมีพรสวรรค์ในการบิดเบือนอะไรได้ขนาดนั้น ทำได้นานจริง ดังนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นการเสี้ยม และไม่มีคนอื่นหรอกครับที่คอยเสี้ยมอยู่ ยกเว้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นองค์กรประชาธิปไตยที่มีบทบาทเฉพาะในตอนที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย”
นายจักรภพกล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่ตนออกไปเคลื่อนไหวในนามของ กลุ่ม นปก.(แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ) ก็เนื่องจากตอนนั้น การปกครองเป็นแบบเผด็จการ ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องเคลื่อนไหวแบบนั้น แต่ตอนนี้บ้านเมืองเราเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว มีพื้นที่ที่จะแสดงความคิดเห็นให้แล้ว ก็ควรไปใช้เวทีนั้นในการต่อสู้ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าในเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว เหตุใดจึงต้องทำแบบนี้ จะต้องมานั่งฟื้นความสนใจอะไรนักหนา ถึงขนาดที่จะต้องใช้คำพูดหยาบคาย เพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าหากขาดความอบอุ่นก็หาวิธีอื่นก็ได้ แต่วิธีการที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน เพียงเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญก่อนจะหมดความสำคัญ ตนคิดว่าเป็นการเอาเปรียบบ้านเมืองเกินไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ดำเนินรายการไม่ได้ถามถึงบทบาทของนายจักรภพ เมื่อครั้งเป็นแกนนำ นปก.ที่ได้ด่าทอ พล.อ.เปรมอย่างหยาบคาย ทั้งที่ พล.อ.เปรมปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.แล้ว รวมทั้งได้แจ้งความกล่าวหา พล.อ.เปรมว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นอกจากนี้นายจักรภพยังเป็นแกนนำก่อความวุ่นวายหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์จนถูกจับกุมดำเนินคดี
**เจ็บใจโดนพันธมิตรฯ ด่า คุยกันได้ยาก
ส่วนเรื่องที่หวังว่าจะให้รัฐบาลและพันธมิตรฯ คุยกันอย่างสันติได้หรือไม่นั้น นายจักรภพกล่าว่า “ถ้าเราดูพันธมิตรฯ เค้าพูด เห็นเค้าด่าอย่างนั้น เห็นเขาหยาบคายอย่างนี้ มันก็เลยเป็นไปได้ยากที่จะเข้าหากัน เพราะคนที่จะหันหน้าเข้าหากันต้องเป็นคนที่มีความสุภาพเป็นอันดับเริ่มแรก แต่ผมก็ไม่ปิดทางเลือกอะไรทั้งนั้น ใครที่ไปสนับสนุนเผด็จการ ที่ผมแบ่งเป็นสองพวก คือพวกแรกคือคนที่ทำอะไรด้วยความรู้เรื่อง ส่วนพวกหลังคือ พวกที่ตามแห่ คือพวกชนะไหนเอาด้วย พวกหลังนี้ผมจะให้อภัยได้มากกว่า แต่ถ้าจะมาคุยเพื่อไม่ให้แตกแยกกันไปกว่านี้อันนี้ก็ได้เพราะการที่รัฐบาลทำงานแบบไม่ตอบโต้แบบรายวัน มันเป็นการบ่งบอกอยู่แล้วว่าเราไม่คิดจะไม่ไปขยายความขัดแย้งนั้นเพิ่มขึ้น แต่ในกรณีนี้ การที่พันธมิตรฯ ออกมาบอกว่า เอ็นบีที เสนอข่าวหมิ่นเบื้องสูง อันนี้ผมทนไม่ได้”
ส่วนการที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลพยายามแทรกแซงสื่อนั้น นายจักรภพกล่าวว่า ถ้าหากไปดูเอเอสทีวี ก็คงจะเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับสื่อของรัฐ ตรงไหนที่จะไปเล่นบทบาทนั้น เพราะฉะนั้นต้องตอบว่าไม่จริง แต่ถ้าถามว่าจะใช้สื่อของรัฐในการอธิบายหรือไม่อันนั้นจริง อย่างรายการนี้ ที่ตนขอเลยว่าจะต้องอธิบาย
“เพราะเขาพูดถึงเอ็นบีที ถ้าหากว่าผมคนเดียวผมยอมได้ ผมถือว่าเป็นมารผจญทางการเมืองธรรมดา แต่มาว่าเอ็นบีที ผมยอมไม่ได้ เพราะเอ็นบีที ต้องอยู่อีกนาน อยู่นานกว่ารัฐมนตรี ดังนั้นหากมีใครจะมาป้ายสีเอ็นบีที อย่างนี้ผมยอมไม่ได้”
**ฟุ้งออก กม.ห้ามสื่อรัฐฯ หนุนยึดอำนาจ
นายจักรภพยังได้กล่าวถึงแนวคิดที่จะเสนอแก้กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามสื่อของรัฐสนับสนุนการรัฐประหารเพราะถือเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งหากเป็นสื่อของรัฐไปสนับสนุนการรัฐประหารก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน หากเป็นสื่อเอกชนได้รับสัมปทานก็ยกเลิกสัมปทาน ถ้าเป็นสื่อที่ได้รับในอนุญาตก็ยึดใบอนุญาต
ในช่วงท้ายรายการ นายจักรภพได้ตอบคำถามถึงความพอใจต่อการดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีว่า “ผมคิดว่าเอ็นบีทีมีคุณภาพสูง ปรับสภาพได้เร็ว เพราะเมื่อคนจากสององค์กร สองวัฒนธรรมมาอยู่ด้วยกัน แล้วปรับตัวหากันได้เร็ว เป็นความอัศจรรย์ของที่นี่ และผมขอสัญญากับพี่น้องประชาชนไว้เลยว่า เอ็นบีที จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราปรับเรื่องข่าว ต่อไปเราจะปรับเรื่องรายการ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ จะดีขึ้น ส่วนเรื่องความพึงพอใจตอนนี้ผมคงตอบแทนประชาชนไม่ได้ แต่ก็ได้ยินคร่าวๆ ว่าคนข้างนอกเขาก็ชอบ เอ็นบีที ที่ปรับปรุงดีขึ้น”
ต่อข่าวว่าที่ว่าจะเข้าไปจัดการกับวิทยุชุมชนและเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นนั้น นายจักรภพ กล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้มาก่อนกฎหมาย เขาไม่ใช่เป็นอาชญากรที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนั้น ผมจึงหาทางจะวางระบบร่วมมือในอนาคต ให้การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้เป็นไปอย่างถูกต้อง”