เลขา ปชป.ไม่หนักใจกรมที่ดินเพิกถอนที่ดินศรีสุบรรณฟาร์ม เชื่อมีใบสั่งแลกเก้าอี้ เตรียมร้องศาลปกครอง เตือน มท.1 อย่าเหลิงอำนาจย้อนอดีตระเห็จต่างแดน จับตารอดูจุดจบอีกครั้ง
วันนี้ (28 เม.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม ที่ถูกกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิจำนวนกว่า 1,300 ไร่ แถลงถึงเรื่องดังกล่าวว่า ได้ทราบว่า นายบุญเชิด คิดเห็น รักษาการอธิบดีกรมที่ดิน ได้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินจำนวน 5-60 แปลง จึงขอชี้แจงว่า ที่ดินทั้งหมดบริษัทประมูลซึ้อจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี ในปี 2547 ซึ่งขอยืนยันว่า บริษัทได้ที่ดินโดยสุจริต ไม่ทราบว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร รู้แต่ว่าเป็นที่ดินที่ออกโดยกรมที่ดินมา 20 กว่าปีแล้ว มีการซื้อขายกันมาหลายทอด ก่อนที่กรมบังคับคดีนำมาขายทอดตลอด เมื่อซื้อแล้วบริษัทจะเข้าไปทำประโยชน์ปรากฏว่า มีราษฎรบุกรุก 70 ราย ซึ่งทางบริษัทดำเนินคดีกับชาวบ้านเหล่าเพื่อพิสูจน์ว่าใครมีสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว 30 ราย ประนีประนอมยอมออกจากพื้นที่ด้วยการซื้อที่ดินต่อจากบริษัท อีก 20 รายไม่มีสิทธิ์ กรรมสิทธิ์ชอบธรรมเป็นของบริษัท อีก 10 รายอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผู้บุกรุกเหล่านี้ได้ไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน รวมทั้ง ดีเอสไอ ด้วย ซึ่งความเห็นเบื้องต้นก่อนที่ เฉลิม มาเป็น รมว.มหาดไทย มีการกล่าวหาว่าออกทับที่สาธารณะ แต่ผลที่เพิกถอนครั้งนี้เป็นเรื่องที่ออกให้กับคนที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจริง ถ้ากรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนได้ก็เพิกถอนไป ตนจะดูว่า ใช้อำนาจโดยถูกต้องหรือไม่ ขอรับความคุ้มครองจากศาลได้ไหม ถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป จะปรึกษาทนายความผู้รู้ และราษฎรที่ได้ที่ดินโดยการซื้อ โดยเฉพาะซื้อจากกรมบังคับคดี ควรได้รับสิทธิคุ้มครองอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าฝ่ายการเมือง ขรก.ประจำมีความคิดอย่างไร สามารถทำเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลายกรณีกรมที่ดินไม่ทำเร็วขนาดนี้ มีที่ดินหลายที่ เช่น พังงา หรือแม้แต่บุรีรัมย์ที่เป็นคดีอยู่ กรมที่ดินรอไม่มีการดำเนินการ แต่รายของตนตั้งใจเพิกถอนโดยเร็ว ตนก็จะพิสูจน์ว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ไมมีเจตนาอย่างอื่นทำตามกรอบของกฎหมายทุกอย่างเรื่องนี้มัน มีปัญหาเยอะ ซับซ้อน ตั้งแต่ว่าถ้าเพิกถอนเอกสารสิทธิไปแล้ว ผมจะไปเอาเงินที่จ่ายราชการไปแล้ว 33 ล้านคืนได้หรือไม่ จะฟ้องใคร ระหว่างกรมบังคับคดีกับกรมที่ดิน ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า จะได้เงินเต็มจำนวนที่ต้องเสียไป และคิดว่า กรมบังคับคดีไม่น่าจะผิด เพราะเขามีหน้าที่ยึดแล้วมาขายทอดตลาด แต่กรมที่ดินผิดเต็มๆ เพราะเป็นคนออกเอกสาร ตนเป็นนักสู้จะต่อสู้จนถึงที่สุด
“คนทั่วไปคงคิดว่ามีใบสั่งทางการเมือง เพราะฉุกละหุกเหลือเกิน รองอธิบดีกรมที่ดินเป็นลูกหม้อ ก็คงมีหลักการ ผมเคยมีประสบการณ์พวกอันธพาลครองเมือง ตั้งแต่คดีป่าท่าชนะ มีการตั้งเรื่อง สร้างพยานเท็จ กล่าวหาผมเป็นพ่อค้าไม้เถื่อนตอนนั้นแทบแย่แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีจบนี่ก็เป็นคดีซ้ำรอยเดิม เพียงแต่ต่างข้อเท็จจริงออกไป คนทำสำนวนเป็นรองอธิบดีก็ไม่รู้วามีการเอาตำแหน่งอธิบดีมาล่อหรือเปล่า และก็สงสัยว่าที่ย้ายอธิบดีคนเก่าแล้วตั้งคนนี้มารักษาการณ์มีสัญญาในใจที่จะต่างตอบแทนหรือไม่อย่างไร เช่นว่า ถ้าเล่นงานสุเทพได้จะให้ตำแหน่งอธิบดีหรือไม่” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า มีผู้แนะนำให้ร้องศาลปกครอง เพื่อขอความคุ้มครอง เพราะถือเป็นคำสั่งทางปกครอง เงิน 33 ล้านบาท ที่เสียไปจากการประมูลซื้อที่ดิน ตนเชื่อว่า จะได้คืนและไม่แพ้คดีเพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าต้องฟ้องใครระหว่าง กรมบังคับคดีกับ กรมที่ดิน ส่วนคดีที่ตน ฟ้อง ร.ต.อ.เฉลิม เอาไว้ และคิดว่าตัวเองจะชนะ เพราะเขาหาว่าตนวางแผนคลาสสิกที่จะฮุบที่ดินดังกล่าว ถือว่าหมิ่นประมาทละเมิด เพราะไม่ได้วางแผน และไม่รู้สึกหนักใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะรู้จัก ร.ต.อ.เฉลิม มานานแล้วเห็นแล้วว่าฝีไม้ลายมือขนาดนี้ ไม่หนักใจเลย
“ผมไม่เชื่อว่า จะได้รับความเป็นธรรมจาก รมต.แต่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมของศาล ในเวลาที่อันธพาลครองเมือง หรือนายทุนเลวมามีอำนาจซื้ออะไรต่ออะไรในประเทศได้ แต่ซื้อศาลไม่ได้ ผมก็ต้องสู้ตามข้อเท็จจริง สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม ผมคงไม่ฝากอะไรไปถึงแล้ว เพราะบอกไม่รู้เรื่อง สอนไม่ได้ แก่เกินแกง โรคที่เป็น เป็นก็มาก คิดว่าคงรักษาไม่หาย ผมเชื่อในกฎแห่งกรรม คนบริสุทธิ์ ถูกต้อง ต้องชนะ และกำลังคอยดูเวลาจบว่าเป็นอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมเขาก็มีรอบ เพราะก่อนหน้านี้ ที่ต้องระเหเร่ร่อน หนีไปต่างประเทศก็หลงลำพองอย่างนี้ ผมอยากดูเหมือนกันว่ารอบนี้ตอนจบเป็นอย่างไร” นายสุเทพ กล่าว
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า คดีนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักที่สุดทางการเมือง เพราะเบากว่าคราวคดีป่าท่าชนะเยอะ ตอนนั้นเล่นกฎหมายอาญาออกหมายจับจนต้องไปมอบตัวที่กรมตำรวจ มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ตอนนั้นมีการใช้อำนาจรัฐมากกว่านี้ เลวร้ายกว่านี้ นี่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้นเชื่อว่ายังต้องเจออะไรอีกเยอะ และก็ยังคิดไม่ออกว่า ร.ต.อ.เฉลิม จะทำอะไรอีก เพราะสมองของ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องไปเอกซเรย์เป็นพิเศษ