ประธาน ป.ป.ช.ไม่สนรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญลดวาระ ยังเดินหน้าทำงานตามปกติไม่หวั่นไหว ย้ำต้องชี้แจงสังคมได้ จะได้ไม่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ขณะเดียวกันเตรียมนำเรื่อง รมช.พาณิชย์ถือหุ้นในบริษัทเกินร้อยละ 5 เข้าพิจารณาวันอังคารนี้
วันนี้ (19 เมษายน) นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การที่รัฐบาลมีแนวคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดวาระการทำงานของ ป.ป.ช.ว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนขององค์กรอิสระ รัฐบาลก็ควรทำทุกอย่างให้มีเหตุผล สามารถตอบคำถามของสังคมได้ จึงจะเป็นที่ยอมรับของประชาชน และหากทำได้จริง ก็จะไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ป.ป.ช.ทุกคนก็พร้อมยอมรับ
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. ดังนั้น จึงยอมรับ หากมีการปรับเปลี่ยนอายุการทำงาน หลังจากนี้ไปหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานที่เหลืออยู่ ซึ่งในการประชุม ป.ป.ช.ก็ไม่ได้วิตกกังวล หรือมีการหยิบยกเรื่องนี้หารือ” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้ทำงานตามอำนาจหน้าที่ ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่กำหนดอายุการดำรงตำแหน่งไว้ 9 ปี และได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์วาระการทำงาน 5 ปี ด้วยการป้องกันการทุจริตส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชน สร้างความเข้มแข็งในการตรวจสอบ ทั้งการออกกฎหมายคุ้มครองพยาน และกฎหมาย ป.ป.ช.จังหวัด
นายปานเทพ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มองค์ความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากปัจจุบันการทุจริตมีหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบายที่มีความซับซ้อน และยังได้วางแผนรับส่งงานให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) และเตรียมการรองรับคดีที่อยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หลังจากหมดวาระงานทำงาน ซึ่งระหว่างนี้ได้มีการประสานการทำงานกันตลอดเวลา
“ผมเชื่อว่าขวัญกำลังใจของกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน ยังอยู่ครบเข้มแข็ง และที่ผ่านมาก็พอใจผลการทำงาน เพราะสามารถทำงานอย่างอิสระ ยึดหลักกฎหมาย และเป็นกลาง สางงานที่ค้างอยู่หลายพันเรื่อง เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบกรณีที่ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถือหุ้นในบริษัท ทรัพย์วัฒนา จำกัด เกินร้อยละ 5 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ว่าการเข้าไปถือครองหุ้นในบริษัทดังกล่าว เข้าข่ายความผิดหรือไม่ เนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่า บริษัทดังกล่าวล้มละลายแล้ว
“เบื้องต้นได้ประสานไปยังกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอข้อมูลข้อเท็จจริง และในวันที่ 22 เมษายนนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุมใหญ่ของ ป.ป.ช.อีกครั้ง โดยจะเป็นการรายงานข้อเท็จจริงของการถือครองหุ้นเท่านั้น ยังไม่มีการลงมติชี้มูลความผิด ส่วนจะใช้เวลาในการตรวจสอบนานหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการค้นหาข้อเท็จจริง เพราะ ป.ป.ช.ต้องการทำทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมายที่โปร่งใส และรัดกุมรอบคอบ” นายปานเทพ กล่าว
/0110