พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ 6/2551 ต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยรวบรัด ไม่ฟังเสียงประชาชน เปรียบเป็นการรัฐประหารเงียบโดยเผด็จการรัฐสภาเพื่อทุนสามานย์ จี้ทำประชามติก่อนแก้ พร้อมตั้งสภาร่างฯ ให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วม ย้ำขอใช้สิทธิพิทักษ์ รธน.50 ขอเพิ่งอำนาจศาล เดินหน้าถอดถอน ส.ส.แก้กฎหมายเพื่อตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แถลงการณ์พันธมิตรฯ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แกนนำพันธมิตรฯแสดงความคิดเห็นและตอบคำถาม
คลิก! ชมการแถลงของพันธมิตรฯ ฉบับ 6/2551(56K) |(256K)
วันนี้ (9 เม.ย.) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้หารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่บ้านพระอาทิตย์ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 12.20 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 6/2551 มีข้อความดังนี้
แถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 6/2551 เรื่อง ต่อต้านรัฐประหารเงียบ
ตามที่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5/2551 ลงวันที่ 2 เมษายน 2551 ด้วยการประกาศใช้หลายมาตรการเพื่อตอบโต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อการลบล้างความผิดให้ตนเอง ดังที่ทราบแล้วนั้น
ภายหลังจากแถลงการณ์ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนได้ใช้เล่ห์อุบายประกาศเปลี่ยนท่าทีเดิมจากที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางมาตรา กลายเป็นจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อแอบอ้างผลประโยชน์ของประชาชน โดยอำพรางเป้าหมายที่แท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 มุ่งหวังตัดตอนไม่ให้คดีทุจริตของระบอบทักษิณที่ คตส.กำลังสอบสวนเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนคดีอาญาของนักการเมือง และมาตรา 237 เพื่อตัดตอนและฟอกการทุจริตเลือกตั้งไม่ให้พรรคการเมืองถูกยุบ และผู้บริหารพรรคไม่ต้องรับผิด
การเร่งรีบเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เพราะว่า ทั้งเรื่องคดีทุจริต และเรื่องโกงเลือกตั้งกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
ดังนั้น การทำให้พ้นจากความผิดทั้งหมด ระบอบทักษิณจึงทำทุกวิถีทาง คือ
หนึ่ง แก้รัฐธรรมนูญ ตัดตอนกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้คดีความทั้งหลายไม่ว่าคดีทุจริตหรือคดีโกงเลือกตั้งไปถึงศาล เมื่อเป็นเช่นนั้นต่อให้ศาลทรงความยุติธรรมก็คงเอาผิดใครไม่ได้
หรือ สอง ปฏิวัติรัฐประหารตัวเองแล้วล้มเลิกคดีทั้งหมด และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องอย่างเต็มที่
เพราะกระบวนการเร่งรีบเช่นนี้จึงทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แปรรูปกลายร่างเป็นว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ โดยจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้แทน ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตาก็คือ แผนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่มุ่งหวังจะทำกันอย่างรวบรัดตัดตอนให้เสร็จภายในไม่ถึงเดือนเท่านั้น โดยเจะเสนอร่างยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วนำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้แทน แล้วลงมติรับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาแปรญัตติ จากนั้นก็ทอดเวลาไว้ 15 วัน เพื่อลงมติในวาระที่ 3 อันเป็นการล้างมนทิลให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้เป็นการยืนยันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และมาตรา 309 โดยเป็นการฆาตรกรรมอำพรางรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน นี่คือการรัฐประหารเงียบอย่างแท้จริงเพื่อเข้าสู่อำนาจโดยเผด็จการรัฐสภาแห่งทุนนิยมสามานย์
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยปฏิเสธที่จะให้มีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตราบใดที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมและความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มุ่งประสงค์ลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้องให้มีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย ไม่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และไม่ทำลายความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของผู้ที่จะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ผ่านความเห็นชอบในการลงประชามติของเสียงส่วนใหญ่มากกว่า 14 ล้านเสียงมาแล้ว ดังนั้น หากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ก็ควรจะต้องให้ประชาชนทุกภาคส่วนทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึง การทำประชาพิจารณ์ ตลอดจนการทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนด้วย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏต่อสาธารณชนเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า รัฐบาลร่างทรงของระบอบทักษิณ ขาดความจริงใจในการทำงานเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้ง 63 ล้านคนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการคัดสรรบุคลากรที่มีอุปนิสัยอันธพาลและมีประวัติด่างพร้อยจำนวนมากมาทำงานทางการเมือง แทรกแซงสื่อสารมวลชน โยกย้ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ยึดหลักคุณธรรมเพื่อตัดตอนคดีความของคนในระบอบทักษิณไม่ให้ถึงการพิจารณาในชั้นศาล หรือการโยกย้ายข้าราชการตำรวจเพื่อเตรียมให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์พี่ชายภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมที่โอบอุ้มรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติก็ดี หรือพฤติกรรมของพรรคการเมืองที่แสดงออกอย่างไร้ยางอายในการสนับสนุนช่วยเหลือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นอันธพาลทำร้ายร่างกายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกันเอง ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่า เป็นกลุ่มนักการเมืองที่ปราศจาก อุดมการณ์และศีลธรรมพื้นฐานที่จะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองประเทศโดยรวมได้แต่ประการใด
ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองและพวกพ้อง พร้อมกับการยัดเยียดให้ประชาชนได้รับการฟังข้อมูลเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มพรรคพวกของตนเองผ่านสื่อของรัฐนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลภายใต้แกนนำของพรรคพลังประชาชนเป็นหุ่นเชิดให้กับพรรคไทยรักไทยอย่างชัดเจน ซึ่งตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาไว้ว่าพรรคไทยรักไทยเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง มิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชนอันเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และมิได้มีอุดมการณทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขถ้วนหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้มาประชุมกันเพื่อกำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้น ได้ผ่านกระบวนการประชามติให้ความเห็นชอบโดยประชาชนส่วนใหญ่มากกว่า 14 ล้านเสียงของคนในประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ถือเป็นความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจซึ่งเท่ากับเป็นการทำรัฐประหารเงียบโดยเผด็จการรัฐสภาของระบอบทักษิณ ดังนั้นหากจะมีการแก้ไขจะต้องมีความชอบธรรมด้วยการสอบถามจากประชาชนเจ้าของประเทศทั้งหมดโดยให้มีการลงประชามติก่อนว่า ประชาชนต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่
2. การแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และการเคลื่อนไหวขององค์การเครือข่ายและภาคประชาชน เป็นเหตุผลสำคัญทำให้รัฐบาลได้เปลี่ยนท่าทีไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ดังนั้นจึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงกลในการอำพรางแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้องเป็นอันขาด
3. ไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวนมาตรามากหรือน้อยเท่าใดก็ตาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงเจตนารมณ์เดิมที่จะใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรการที่ได้ประกาศเอาไว้ใน แถลงการณ์ ฉบับที่ 5/2551 ลงวันที่ 2 เมษายน 2551 ทุกประการ ทั้งการร้องขอให้ศาลรัฐธรรนูญสั่งให้หยุดการกระทำที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ รณรงค์ให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนที่พบว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และพร้อมเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรนูญเพื่อตัวเองและพวกพ้องทุกรูปแบบ ตราบใดที่ยังใช้เล่ห์เพทุบายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ 309 เพื่อหลบหนีบทลงโทษจากการกระทำความผิดของตัวเองและพวกพ้องต่อไป
4. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องจัดทำร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีตัวแทนจากประชาชน นักวิชาการทุกภาคส่วน โดยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ในฐานะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์และมีส่วนได้ ส่วนเสียโดยตรงจะต้องไม่เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง โดยใช้รูปแบบของการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
5. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียกร้องต่อรัฐบาลและนักการเมืองในระบอบทักษิณ หยุดพฤติกรรมอันธพาลและพูดจาหยาบคายที่กระทำต่อประชาชนผู้ต่อต้านระบอบทักษิณตลอด และขอประณามการโอบอุ้มนักการเมืองอันธพาลที่ใช้คำหยาบคายและทำร้ายร่างกายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกันเอง ว่าเป็นยุคของนักการเมืองที่ไร้ศีลธรรม ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี และทำลายเกียรติภูมิของสภาผู้แทนราษฎรให้ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
สุดท้ายนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอเตือนพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลหุ่นเชิดว่า ขณะนี้ประชาชนทั่วประเทศเหลืออดต่อพฤติกรรมของรัฐบาลหุ่นเชิดที่ผ่านมาที่ไม่ได้ให้ความสนใจแก้ไขปัญหาของประเทศชาติบ้านเมือง ให้ประชาชนพ้นจากความเดือดร้อนทุกข์ยากแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาข้าวยากหมากแพง ในทางตรงกันข้ามพรรคพลังประชานและรัฐบาลหุ่นเชิดกลับสนใจแต่ที่จะแก้ไขปัญหาของตัวเองและพวกพ้องให้พ้นความผิดในคดีความต่างๆและฟื้นฟูระบอบทักษิณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ดั้งนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นย่อมเป็นปัญหาที่รัฐบาลหุ่นเชิดเป็นผู้ก่อทั้งสิ้น และจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่จะตามมาทั้งปวง
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
9 เมษายน 2551
รายละเอียดคำแถลง
นายพิภพ ธงไชย
“การแถลงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันนี้ แถลงเพื่อให้สังคมได้รู้เท่าทันการเมือง หรือการแก้เกมทางการเมืองของรัฐบาลหุ่นเชิด ในระบอบทักษิณ ในขณะที่ประชาชนมีความทุกข์ยากในเรื่องข้าวยากหมากแพง ข้าวสารอาจจะไม่พอกิน น้ำมันแพงขึ้นตลอดเวลา และโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น และมีความรุนแรงในสังคมตามมา รัฐบาลหุ่นเชิดในปัจจุบันนี้กลับไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว การพูดของนายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ก็เต็มไปด้วยโวหารที่ไม่มีประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ขณะเดียวกัน เมื่อรัฐบาลนี้พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้คนพ้นผิดจากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในมาตรา 237 แก้ไขมาตรา 309 เพื่อไม่ให้คนที่ถูกกล่าวหา หรือนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาในอดีต ที่คณะกรรมการไต่สวน คตส. กำลังทำงานอยู่ และจะนำไปขึ้นสู่ศาลนั้น ก็จะเห็นได้ว่าความพยายามแก้ไขมาตรา 309 นั้น ได้ถูกสังคม ชุมชน นักวิชาการ ผู้อาวุโสทางการเมือง รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คัดค้านโดยตลอดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ 309 นั้นเป็นไปเพื่อทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก และนอกจากนั้น มาตรา 237 ยังเป็นมาตราที่มุ่งที่จะทำให้ระบอบการเมืองเข้มแข็ง และไม่ทำให้นักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเข้าสู่สภาได้
เมื่อมีการตรวจสอบพบว่ามีการทำผิดก็จะนำขึ้นสู่ศาลเพื่อให้พิจารณาตัดสินต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมาจากสิ่งที่ประชาชนสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ามีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง กลับพยายามที่จะขจัดมาตรานี้ออกไป ทั้งๆ ที่มาตรานี้ต้องการมุ่งให้คนดีเข้าสู่การเมือง และทำให้สังคม ประชาธิปไตย และรัฐสภา เข้มแข็งขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อถูกคัดค้านจากกลุ่มชนต่างๆ นักวิชาการ ผู้อาวุโสทางการเมือง รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเครือข่ายของประชาชนที่เริ่มแสดงตัวตนมากขึ้นในการคัดค้านรัฐบาล รัฐบาลก็เปลี่ยนเกมทางการเมืองมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนี้ไม่ปรากฏในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ถึงแม้ว่าจะมีการหาเสียง ก็เป็นหาเสียงว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้เอาการหาเสียงนั้นมาเป็นนโยบายของรัฐบาล และยิ่งมีการรีบเร่งที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยรัฐบาลไม่ถามประชาชนเลยว่าควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ เพราะฉะนั้นในวันนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า การแก้เกมทางการเมืองของรัฐบาล ขณะที่ไม่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความทุกข์ยากของประชาชนนั้น ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน แต่เป็นประโยชน์กับนักการเมืองและอดีตนักการเมืองที่กระทำความผิดในอดีต เพราะฉะนั้นถ้าต้องการที่จะกล่าวว่าตัวเองมีความถูกต้อง และไม่เคยทำผิด ก็น่าจะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมฟอกความถูกความผิดอย่างสง่าผ่าเผย และในที่สาธารณะ ในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นศาลที่สังคมไทยยอมรับเป็นองค์กรหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในวันนี้เราจึงได้คัดค้านว่าการแก้เกมทางการเมือง จากการแก้ไขมาตรา 237 และ 309 และมาตราอื่นๆ เช่น 190 เปลี่ยนเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการร่างโดยคนที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภา และนำไปสู่การลงประชามติ เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะต้องถามประชาชนทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่งก่อนว่า เห็นสมควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ เพราะฉะนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอค้านการที่รัฐบาลหุ่นเชิดมุ่งแก้ไขเกมทางการเมืองเพื่อฟอกนักการเมืองในอดีต และนักการเมืองในปัจจุบันที่ทำผิดกฎหมายนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ จึงเรียกร้องต่อสังคมว่าให้สนับสนุนในการที่จะเสนอต่อรัฐบาล ถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะต้องมีการลงประชามติ ขอความเห็นชอบจากประชาชนก่อนว่าควรจะแก้ไขทั้งฉบับหรือไม่ หลังจากนั้นจึงจะสามารถดำเนินการได้ มิเช่นนั้นเราจะถือว่าการมุ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในเวลาอันรวดเร็วภายใน 1 เดือนนี้ ถือว่าเป็นการรัฐประหารเงียบ โดยระบบรัฐสภาของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะฉะนั้นวันนี้ เราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงแสดงจุดยืนต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยการไม่ถามประชาชนก่อนว่าสมควรจะแก้ไขหรือไม่ และถือว่านี่เป็นการรัฐประหารเงียบและทำลายกลไกของรัฐสภา และกลไกของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางเคลื่อนไหวคัดค้านฉีกรัฐธรรมนูญ อย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือจากมาตรการถอดถอน
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราได้บอกไปแล้วหลายครั้งนะครับว่า การทำงานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้ทำตามใจ เราทำตามสถานการณ์ เมื่อมีสถานการณ์เกิดขึ้นเราก็มีการประชุมแล้วก็ลงมติกันว่า เราจะเสนอต่อประชาชนอย่างไร ในครั้งนี้ก็อีกเช่นกันครับว่า เราจะทำตามสถานการณ์ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จากการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตรา ที่ อ.พิภพ กล่าวไปแล้ว กลับมาเป็นการรัฐประหารเงียบ เราก็มีการประชุมกัน และเราก็วางแผนเพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลว่า เขาจะฟังความเห็นของประชาชนไหม ในเมื่อผ่านการลงประชามติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาแล้วว่า ตอนนั้นมีการถามกันใช่ไหมว่า ประชาชนจะเอาไหม ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ถ้าประชาชนไม่เอาจะกลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 นี่บอกไว้ชัดเลย แล้วประชาชนตัดสินใจแล้วว่าเอามาตราต่างๆ ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2550 คือรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ประชาชนเพิ่งตัดสินใจหยกๆ แล้วตัวเองจะมาแก้ว่า จะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มันไม่ได้หรอก ก็ต้องถามอีกทีได้ไหมล่ะ คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบอกไปแล้วว่า เราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่คุณต้องถามประชามตินะ คราวที่แล้วคุณถามมาแล้ว ถามมาแล้วแล้วคุณจะล้มทั้งฉบับ ก็คือ รัฐประหารเงียบ นั่นเอง ไม่ได้เป็นอย่างอื่นเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า พันธมิตรฯ สร้างความเข้าใจประชาชนแต่ละพื้นที่ คู่ขนานอย่างไร
นายสุริยะใส กล่าวว่า- ผมคิดว่า กรณีช่อง 11 ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า วันนี้ช่อง 11 ถูกปรับเปลี่ยนไปเพื่ออะไร จริงๆ แล้วหลักการของช่อง 11 คือ ทีวีที่ทำหน้าที่ขยายความนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาล แต่วันนี้ ทีวีช่อง 11 ถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มการเมือง อันนี้ผิดเจตนารมณ์ แล้วผมคิดว่าเรื่องนี้หลายส่วน หลายองค์กรที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะมีการดำเนินคดีความ ส่วนการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ หรือการชี้นำเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย ถ้ายังทำต่อ ผมเชื่อว่าประชาชนแยกแยะได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่ารายชื่อ 20,000 รายชื่อ
นายสุริยะใส กล่าวว่า วันนี้ผมได้ยกร่างแบบถอดถอนและหนังสือ ยื่นให้อัยการสูงสุด ไต่สวนข้อเท็จจริง ที่เราแถลงไปเมื่อครั้งที่แล้ว สอบถามนักกฎหมาย วิธีการดังกล่าวจะเริ่มต้นได้เมื่อ ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาฯ หมายความว่า ต้องรอพฤติกรรมเขาปรากฏก่อน แต่เรายกร่าง ถ้าทันทีที่ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่เป็นผล แล้วรัฐบาลนอมินีดื้อรั้น ดันทุรังยื่นญัตติเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะทั้งฉบับหรือเป็นบางมาตราก็ตาม ผมจะแสดงตนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการถอดถอนทันที
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการลงรายชื่อเพื่อเข้าร่วมถอดถอนบ้างหรือยัง
นายสุริยะใส กล่าวว่า ยังครับ เพราะว่าสอบถามทางฝ่ายกฎหมายของวุฒิสภา บอกว่า ชื่อที่มีล่าไปก่อน แต่พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหายังไม่เกิด มันไม่มีผล กรณีนี้คล้ายๆ กรณีถอดถอนคุณไชยา มีกว่า 4,000 ชื่อ ซึ่งทางวุฒิสภาบอกว่า ได้มาโดยมิชอบ เพราะว่ามีการล่าชื่อไปก่อน ก่อนที่แกนนำจะไปแสดงตนต่อประธานวุฒิสภา ฉะนั้นเราคงต้องรอให้ญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาฯ เป็นทางการก่อน ดังนั้นนับ 1 ถอดถอนจะดำเนินการตามที่แถลงไว้ทันที รวมทั้งการยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด ซึ่งแกนนำได้ทำความเห็นต่ออัยการสูงสุดไว้เรียบร้อยแล้ว รอความเป็นทางการเท่านั้นเอง
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ต่อคำถามแรกที่ว่า พันธมิตรฯ จะทำอะไรนั้น คราวที่แล้วเราแสดงให้ปรากฏแล้วใช่ไหมครับว่า ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างมาก ที่จัดงานที่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม นั่นเราได้บอกกับประชาชนเพื่อเตรียม แล้วประชาชนก็เตรียมจริงๆ พอถึงวันเวลาที่พอเหมาะ เราก็ชักชวนประชาชนว่า เราจะมีการสัมมนาทางวิชาการที่ธรรมศาสตร์นะ ประชาชนไปอย่างเกินความคาดหมาย นี่คือการทำงานของเรา เพื่อแสดงให้เห็นว่า ที่แล้วมาเราทำอย่างนี้ ต่อไปเราก็จะทำอย่างนี้อีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การคัดค้านรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มเคลื่อนไหวหรือไม่ เช่น จัดสัมมนา หรือเดินขบวนคัดค้าน
นายสนธิ กล่าวว่า ท่าน พล.ต.จำลอง เคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า การที่เราจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม เราจะทำตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งเราจะวิเคราะห์สถานการณ์ บางครั้งถ้าสถานการณ์เกิดภาวะวิกฤต ที่อาจจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้ชาติบ้านเมืองวุ่นวาย การขยับของเราจะเป็นไปตามการรองรับสถานการณ์แต่ละครั้งๆ ผมคงจะบอกไม่ได้ว่าจะมีการเคลื่อนขบวน เดินขบวน หรือชุมนุมกันในกลางแจ้งหรือเปล่า เอาเป็นว่า ถ้าอ่านในแถลงการณ์ย่อหน้าสุดท้าย จะเข้าใจดีว่า เราเตือนรัฐบาล ในขณะนี้เรากำลังเตือนรัฐบาลนะครับว่า อย่าล้อเล่นกับประชาชน อย่าประพฤติตนชั่ว อย่าทำตัวเป็นคนพาล สร้างจริยธรรมในการปกครองบ้านปกครองเมือง และใช้หลักนิติธรรมในการปกครอง แล้วหันเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เป็นปัญหาจริงๆ ของชาติบ้านเมือง คือ ปัญหาข้าวยากหมากแพงในขณะนี้ แทนที่จะแก้ปัญหาที่ทำให้ตัวเองและพรรคพวกไม่กี่คนพ้นผิด ถ้าไม่เชื่อเรา ถ้าประชาชนเหลืออดแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราต้องถือว่า รัฐบาลเป็นผู้ก่อ แล้วผลที่ตามมานั้นรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ คุณก็อาจจะถามต่อว่า อะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่ทราบ แต่รอจนถึงวันนั้นก็แล้วกันนะครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายหรือเปล่า
นายสนธิ กล่าวว่า สุดแล้วแต่จะแปลความหมายกัน อาจจะเตือนครั้งสุดท้าย หรืออาจจะเตือนอีกสัก 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการกระทำของรัฐบาล เพราะว่าเราทราบมาแน่นอนจากการสำรวจของเรา ว่าประชาชนทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว ทนไม่ไหวกับสภาวะที่เขาต้องเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ กับราคาแก๊สที่สูงขึ้น กับราคาน้ำมันที่ไม่ลดลง กับข้าวที่แพงขึ้น ชาวนาเห็นราคาข้าวแพงขึ้นแต่จริงๆ แล้วไม่ได้เงินเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะขายข้าวไปนานแล้ว หรือว่าภาวะการตกงานของคนมากขึ้น แล้วยังจะต้องทนต่อความกักขฬะ สามหาว ความหยาบคาย ความถ่อย ของคนซึ่งควรจะเป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปในสภาฯ นั่นยังไม่พอ ยังทนไม่ไหวกับการที่จะไม่ใช้วุฒิภาวะในฐานะที่เป็น ส.ส. ทนไม่ไหวกับการตะแบง ถึงแม้ว่า กฎหมายจะบอกว่า ท่านรัฐมนตรีท่านผิด ท่านควรที่จะมีมารยาทลาออก เหมือนกับสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ท่านรัฐมนตรีสิทธิชัย เมื่อมีปัญหา ป.ป.ช. ท่านแสดงสปิริตลาออก คุณอรนุช โอสถานนท์ ลาออก คุณอารีย์ วงศ์อารยะ ลาออก แต่รัฐมนตรีชุดนี้ คนนี้ กลับเป็นคนพูดว่า เมื่อนักข่าวถามถึงจริยธรรม กลับตอบเฉยๆ ว่า ในกฎหมายไม่ได้ระบุคำว่า จริยธรรมไว้ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ประชาชนเหลืออดเหลือทนกันแล้ว ประชาชนที่มีปัญญา หรือประชาชนที่อยากจะเห็นความผิด ชอบ ชั่ว ดี มันกลับมาสู่สังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากให้รัฐบาลชุดนี้ประมาทประชาชน อย่าคิดว่าตัวเองและพรรคตัวเองสามารถเอาเงินซื้อประชาชนของตัวเอง แล้วจ้างเป็นรายหัวเข้ามาชุมนุมได้ เพราะเมื่อประชาชนที่ทนไม่ไหวนั้นเป็นประชาชนที่ยืนอยุ่บนลำแข้งตัวเอง ที่ไม่ต้องจ้างไม่ต้องวาน คนพวกนี้เขาจะมาด้วยใจ แล้วคนพวกนี้เขาจะมา แล้วเขาต้องการที่จะทำให้ประเทศชาติดีขึ้น แล้วคนพวกนี้ ขอเรียนให้ทราบนะครับ ไม่ได้เป็นคนกลัวการก่อกวนโดยพวกกุ้ย อันธพาลที่ถูกสั่งจ้างมา คนพวกนี้เขาพร้อมจะเผชิญหน้าเพื่อนำความถูกต้อง ผิด ชอบ ชั่ว ดีกลับคืนสู่สังคม
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ประเด็นที่ผมอยากจะเรียนสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนเพิ่มเติม ก็คือว่า อย่าไปหลงประเด็นว่ารัฐธรรมนูญที่จะแก้ก็เป็นวิธีการที่พยายามหาทางจะแก้ 2 มาตรา เพราะมันเป็นความจำเป็นที่ 2 มาตราออกมาใช้ในช่วงที่เรามีนักการเมืองฉ้อฉลและทุจริต คือ มาตรา 237 และ 309 จะเห็นว่า พรรคการเมืองที่เขาไม่โกง ไม่ทุจริตการเลือกตั้ง เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคประชาราช พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรเลยใน 2 มาตรานี้ และไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไปหาทางแก้กันในช่วงที่ตนเองกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับมาตรา 309 รัฐบาลนี้ ตอนที่แถลงเมื่อวันที่ 18 ผมเรียนซ้ำอีกทีนะครับว่า เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในมาตรา 75 เขาบอกว่า อันไหนที่จะทำในรอบ 1 ปีต้องบอกไป นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้ทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา
แล้วอย่างที่รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้บอกว่า เรื่องจริยธรรม คุณธรรมไม่ได้กำหนดไว้ มันน่าเศร้ามากนะครับ ที่ไม่น่าเชื่อ แล้วเป็นการแสดงอาการที่ไม่เคารพต่อกฎหมายสูงสุดของการปกครองประเทศ ในนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินในมาตรา 78 หมวดที่ 5 ส่วนที่ 3 ในรัฐธรรมนูญเขียนชัดว่า ต้องส่งเสริมดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนเป็นสำคัญ ในประเด็นที่ 2 ต้องพัฒนา มุ่งเน้นปฏิบัติคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามหลักนิติธรรม นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มเรื่องคุณธรรม จริยธรรมของนักการเมืองไว้ต่างหาก อันนี้ละครับ ซึ่งวันนี้เขาได้กระทำผิด และไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญทุกประการ นัยหลักสังคมประชาธิปไตย ถือว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศไปแล้ว ถ้าเอาหลักนิติธรรม หลักกฎหมายสูงสุดเข้าไปตรวจสอบ นี่คือสิ่งที่อยากจะให้พี่น้องประชาชนได้ตื่นขึ้นมา ในฐานะที่เราเป็นประชาชน ได้ใช้สิทธิ์ของเราเหมือนกันในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชน จะได้ก้าวหน้า ยกระดับ และนำไปสู่การแก้ปัญหาการโกง การทุจริต ซึ่งเป็นปัญหาของชาติ ในอนาคตจะได้ลดน้อยลง หรือหมดไปในที่สุดครับ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ผมขออนุญาต 3 ข้อสั้นๆ ข้อแรก ต้องถามถึงคน 3 คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายบรรหาร ศิลปอาชา กับนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ว่า 3 ท่านนี้ได้ลงประชามติรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 สิงหาคม หรือไม่ ถ้าเราลงแล้วเสียงข้างมากเขาบอกให้ประกาศใช้ ทั้ง 3 คนยอมรับหรือไม่ จากผลของประชามติ ถ้ายอมรับแล้วมาลงเลือกตั้ง รู้เรื่องกฎหมายดีแล้ว ทำไมเมื่อถึงการจะยุบพรรคจึงออกอาการคุ้มคลั่ง จะเป็นจะตายกัน ถาม 3 คนนี้ อันที่สอง ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของนายสมัคร สุนทรเวช และคณะ ในวันที่ 18, 19 และ 20 กุมภาพันธ์ 2551 นโยบาย 28 หน้า ไม่มีเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเลย นโยบายเร่งด่วนที่จะทำในปีแรก 19 ข้อไม่มีเรื่องรัฐธรรมนูญเลย ในหน้า 28 มีแต่ว่า จะศึกษาและทบทวน เพราะฉะนั้นรัฐบาลชุดนี้ต้องรับผิดชอบใน มาตรา 76 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีจะต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อไม่มีแล้ว ทำไมไม่ปฏิบัติตามมาตรา 76 ที่ชัดที่สุดคือ มาตรา 178 ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่แถลงไว้ ตามมาตรา 176 และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภา ในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี หมายความว่า นโยบาย 28 หน้าที่แถลง ไม่มีเรื่องรัฐธรรมนูญเลย แล้วไปบอกกล่าวหน้าตาเฉยเลย ต่อรัฐสภา สนช.กับสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่รัฐสภา บอกไม่มี แต่ตอนนี้มีต้องรับผิดชอบ อันนี้จะเป็นประเด็นใหญ่ทางข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมายได้
แล้วข้อสาม อยากจะเรียนว่า ในวันเสาร์ที่ 19 เมษายนนี้ คุณสุริยะใสจะแถลงข่าวถึงการประชุมคณะกรรมการต่างๆ ที่ได้ประเมินรัฐบาลมาชั่วระยะหนึ่ง เดี๋ยวรายละเอียดจะมีให้เห็น แต่ผมย้ำเตือนนะครับ รัฐบาลชุดนี้ได้เดินทางมาใกล้หุบเหวแห่งความมรณะแล้ว ใกล้ตกเหวหมดแล้ว วันนี้ตกไป 1 คน คือ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ข้อความที่ส่งเข้ามาตะกี้นี้ บอกจะลาออกในวันนี้แล้ว กำลังจะลาออกแล้ว รัฐบาลชุดนี้กำลังใกล้ตกหุบเหวหมดแล้ว แล้วเจ้าของอำนาจตัวจริงมาแล้ว มากำกับแล้ว มาล่วงหน้า รัฐบาลหุ่นเชิดจึงมีราคาน้อยลง จึงทำให้พวกนี้นี่อาการเจ็บป่วยอย่างเห็นได้ชัด เพราะตัวจริงเขามาทวงอำนาจและควบคุมเองแล้ว ขอบคุณครับ
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ผู้สื่อข่าวอาจจะลืมไปนะครับ ว่าในการแถลงนโยบายของรัฐบาล 18, 19 และ 20 กุมภาพันธ์ ที่เรายืนยันว่า ไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญในนั้น แล้วปัญหาเร่งด่วนข้อแรกสุดคืออะไร จำได้ไหมครับ สมานฉันท์ แล้ววันนี้ทำหรือเปล่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณสดศรีให้สัมภาษณ์ และค่อนข้างกังวลกับคำทำนายของโหรวารินทร์ และบอกว่าอยากให้ทางพันธมิตรฯ สมานฉันท์กับรัฐบาล
นายสนธิ กล่าวว่า ผมเสียดายและเสียใจที่คนอย่างคุณสดศรี สัตยธรรม ที่มีวุฒิภาวะ เคยเป็นอดีตผู้พิพากษา เป็นหนึ่งใน กกต. ไปให้ความกังวลกับคำพูดของโหรวารินทร์ ด้วยความเคารพ โหราศาสตร์กับการเมืองไทยนั้นอยู่คู่กันมานานแล้ว แต่ว่าในข้อเท็จจริงแล้วคือพุทธศาสนา กับกฎแห่งกรรม เป็นตัวกำหนดการกระทำของคน เพราะฉะนั้นให้สุดยอดของโหรวารินทร์มาพูด ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ คุณสดศรีแสดงวิสัยทัศน์เรื่องให้พันธมิตรฯ กับอีกฝ่ายหนึ่งสมานฉันท์กัน ผมไม่เข้าใจว่าคุณสดศรีกำลังจะพูดในเรื่องของการเอาความผิดกับความถูกมาผสมกันใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็แสดงว่ามาตรฐานที่คุณสดศรี ในฐานะเป็นหนึ่งใน กกต.แล้วตัดสินหลายๆ คดีออกไป นั่นคือมาตรฐานที่คุณสดศรีใช้ มิน่า การเมืองไทยมันถึงวุ่นทุกวันนี้ไง เพราะว่าหน้าที่คุณสดศรี และ กกต.อีก 4 ท่าน รวมเบ็ดเสร็จ 5 ท่าน มีหน้าที่ที่จะชะล้าง สร้างการเมืองให้สะอาด แต่กลับไม่ทำหน้าที่นี้อย่างสมบูรณ์แบบ กลับมาเสนอว่าให้ทางเราซึ่งยืนอยู่บนความถูกต้อง ต้องการให้สังคมยืนอยู่บนความถูกต้อง กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการล้างความผิด ให้มาผสมกัน ผมผิดหวังมากกับวิสัยทัศน์ของคนที่เป็น กกต. เพราะ กกต.บางส่วนเป็นเช่นนี้ การเมืองเมืองไทยถึงเน่า คุณสดศรีคือตัวปัญหา และเป็นตัวที่เสริมสร้างให้การเมืองเมืองไทยมีความย่ำแย่และต่ำช้าแบบนี้ คุณสดศรีเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างการเมืองเมืองไทยให้เป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นแล้วผมตอบได้เพียงแค่นี้ครับ
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ชอบพูดกันเรื่องสมานฉันท์นะครับ พวกเราหยุดมาเป็นปี เราไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราในฐานะที่เป็นนายจ้าง รัฐบาลคือลูกจ้างชั่วคราว เมื่อลูกจ้างชั่วคราวทำผิดเราก็ต้องออกมาต่อว่า ออกมาคัดค้าน ก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนายจ้างออกมาต่อว่าคัดค้าน ก็บอกว่าไม่มีสมานฉันท์ ทำอย่างนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนะครับ เมื่อผิดก็ต้องบอกว่าผิด ผิดแล้วบอกว่าอย่าไปยุ่งกับเขา ปล่อยเขาไปเถอะ จะได้สมานฉันท์ บ้านเมืองก็แย่สิครับ
นายพิภพ กล่าวว่า สั้นๆ นิดเดียวนะครับ ในฐานะเคยเป็นกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ หลักของการสมานฉันท์ ย้ำวันนี้ ซึ่งเคยย้ำมาตลอดว่าการที่จะสมานฉันท์ได้ต้องทำความจริงให้ปรากฏ ทำความถูกผิดให้ชัดเจน ซึ่งคุณสดศรีในฐานะเป็น กกต. มีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ ทำความถูกผิดให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นมาตรา 237 เป็นมาตราที่ต้องการทำความจริงให้ปรากฏว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะฉะนั้นอยากจะย้ำตรงนี้เวลาเราพูดความสมานฉันท์ เราลืมพูดเรื่องความจริง ทำความจริงให้ปรากฏ กับทำความถูกผิด และทำความถูกต้องให้เข้าสู่กระบวนการที่สังคมยอมรับ คือกระบวนการยุติธรรม ความสมานฉันท์จะเกิดหลังจากนั้นครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อเช้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่าได้ฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กับเอเอสทีวี ซึ่งลงคำสัมภาษณ์ของคุณชนาพัทธ์ ณ นคร ที่บอกว่าคุณเฉลิมแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท
นายสนธิ กล่าวว่า คุณเฉลิมมีสิทธิ เหมือนกับประชาชนคนไทยอีก 63 ล้านคน ที่อยากจะฟ้องใครก็ฟ้องได้ ถ้าเป็นกรณีที่คุณถาม คุณชนาพัทธ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ทุกฉบับนะครับ ถ้าการซึ่งหนังสือพิมพ์เอาคำสัมภาษณ์คุณชนาพัทธ์มาลงแล้วจะต้องตกเป็นจำเลย หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ต้องเป็นจำเลยของคุณเฉลิม หากแต่ว่าถ้าคุณเฉลิมจงใจฟ้องเฉพาะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นั่นก็ย่อมส่อเจตนาของการหาเรื่องของคุณเฉลิม กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ถ้าเมื่อฟ้องมาก็ต้องตั้งรับกันไป ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้น ก็คุณเฉลิมพูดตลอดเวลาไม่ใช่หรือว่าผมจะต้องติดคุกตลอดชีวิต คุณเฉลิมอาจจะต้องการให้มั่นใจว่าผมจะต้องติดคุกตลอดชีวิตจริงๆ ก็เลยฟ้องมา แต่ถ้าคุณเฉลิมมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ถ้าจะต้องการสร้างความยุติธรรม ก็ฟ้องหนังสือพิมพ์ทุกฉบับสิครับที่ลง แต่คุณเฉลิมไม่ เจตนาเพียงแค่นี้ก็ดูออกแล้ว ว่าคุณเฉลิมฟ้องเพื่ออะไร ไม่ใช่เรื่องใหม่ในชีวิตของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และตัวผม ที่จะถูกฟ้อง แต่ไม่ทราบว่าฟ้องใคร เพราะผมไม่ได้เป็นคนทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หรือเอเอสทีวี ไม่ได้หวั่นไหวนะครับ คนที่นี่ไม่ได้หวั่นไหวเลย ขอบคุณมากครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การขู่ว่าทีหลังอย่ามาลงข่าว หรือพาดพิงโจมตี
นายสนธิ กล่าวว่า คงไม่ขู่อะไรหรอกครับ ผมคิดว่าคุณเฉลิมคงจะพูดด้วยอารมณ์ ทุกวันนี้ผมแผ่เมตตาให้คุณเฉลิมตลอดเวลา ผมหวังว่าเขาคงจะใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบ สันติ แล้วก็เข้าใจในธรรม ผมกลัวว่าเขายังจมอยู่ในกองกิเลส เขาเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก ถ้าไม่เชื่อให้จำคำพูดผมวันนี้เอาไว้ อีกไม่นานหรอกครับ แล้วเราจะเตือนความจำเรื่องที่ผมพูดวันนี้กับคุณเฉลิม แล้วค่อยดูกันอีกทีหนึ่งว่าวันข้างหน้านั้นคุณเฉลิม ในสถานภาพข้างหน้า กับคุณเฉลิมวันนี้ เป็นอย่างไร ผมสงสารเขามากครับ และผมสงสารลูกเขาด้วย ผมสงสารครอบครัวเขา เขามีสิทธิที่จะทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศวงศ์ตระกูล สามารถจะเจริญรุ่งเรืองได้ แต่เขาพลาดไป คุณเฉลิมเข้าใจตัวเองผิดมาก เข้าใจว่าประชาชนยังหลงใหลและชอบคุณเฉลิมอยู่ คุณเฉลิมยังเล่นการเมืองแบบเดิมๆ คุณเฉลิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตเลย ยังเล่นโวหาร ยังพูดจาท้าทาย ยังพูดจาข่มขู่คน ไม่เคยเปลี่ยน คุณเฉลิมไม่รู้หรอกว่าประชาชนตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว ประชาชนมีปัญญามากกว่าเก่า ขอบพระคุณมากครับ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ผมขอพูดเรื่องคุณเฉลิมนิดหนึ่งนะครับ คุณเฉลิมได้กรุณาลงหนังสือพิมพ์มติชน ในทำนองสั่งสอนผม ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิม มากนะครับ สั่งสอนผมว่าถ้าไม่พูดเรื่อง ไอ้ อี กู มึง จะมีเสน่ห์มาก ผมก็อยากจะขอร้องสื่อมวลชนที่ลงเฉลิมว่าผมข้างเดียว โดยเฉพาะมติชนนะครับ ช่วยลงบอกว่าผมไม่เคยใช้ ไอ้ อี เลยนะครับ ผมใช้ตามหลังจาก ดร.เฉลิม ใช้ ว่า "ไอ้ 5 พันธมิตรฯ" 4-5 ครั้ง เราก็บันทึกไว้ เราถึงขออนุญาตคุณเฉลิมใช้ไอ้ กับคุณเฉลิมบ้าง เราใช้ครั้งเดียวก็หายกันไป แล้วผมพูดในสภาด้วย ว่าผมยอมรับว่าใช้ครับ เพราะว่าท่านใช้ก่อน แต่น่าประหลาดใจมาก คุณเฉลิมนี่ใช้ภาษาเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช ที่ว่ากล่าว พล.อ.เปรม ว่า "ไอ้ประธานองคมนตรี" ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 ผ่านทีวีช่อง 5 แล้วคุณเฉลิมยังกรุณาแนะนำสั่งสอนผมว่า "ไอ้ 5 พันธมิตรฯ ไม่เรียนกฎหมายมา ท้าทายได้ตลอด" ท้าทายยังไม่ถึง 2 สัปดาห์ ไปอภิปรายในสภาเมื่อวันก่อนว่า ผมมีความรู้พอประมาณนะ เมื่อก่อนผมมีความรู้เก่งกาจมาก สามารถท้าทาย แต่ตอนนี้ลดลงแล้ว "พอประมาณ" ผมได้บันทึกเทปไว้ทั้งหมดนะครับ คุณเฉลิมก็กรุณาไปเอาป้ายที่ติดตามอีสานออกบ้างนะครับ ที่ติดตามสะพาน ตามอะไร จนถึงอีสาน ที่ยกย่องท่าน บ้านเมืองจะได้ดีขึ้นนะครับ ขอบคุณมากนะครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นที่คุณทักษิณพูดเมื่อเช้านี้ ที่บอกว่ากลุ่มม็อบ ที่มีการจัดตั้งม็อบกันเป็นพวกกลุ่มที่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ทางพันธมิตรฯ จะมีการอภิปรายยังไง
นายสนธิ กล่าวว่า ผมไม่เข้าใจทำไมคุณทักษิณต้องมาว่าตัวเขาเอง
นายสุริยะใส กล่าวว่า แค่นี้ก่อนนะครับ วันที่ 19 ก็อย่างที่ อ.สมเกียรติ แจ้งไปนะครับ ประชุม 5 แกนนำพันธมิตรฯ กับคณะกรรมการและองค์กรเครือข่าย ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ ทั้งวัน และจะมีการแถลงข่าวช่วง 15.30 น. เริ่มตั้งแต่ 09.00 น.นะครับ เป็นการประชุมภายในเพื่อกำหนดแผนและแนวทางในการเคลื่อนไหว