ลำปาง - อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศขึ้นเวทีพันธมิตรฯลำปาง ปลุกกองทัพไทยยึดมั่น "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" แทนระบอบประชาธิปไตยแค่รูปแบบเหมือนทุกวันนี้ ชี้ทิศทางการเมืองใหม่ ต้องสร้าง "เสรีชน" ที่คิดเป็น ทำเป็นด้วยตนเอง ทดแทน "ฝูงชน" ที่คอยแต่รับคำสั่งเหมือนปัจจุบัน
เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดลำปาง เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระที่สะกดผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยได้อย่างเต็มที่ เมื่อนายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำหลายประเทศในยุโรป ขึ้นเวทีบรรยายทิศทางการเมืองใหม่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่แท้จริง ด้วยระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็มบนเวที
นายสุรพงษ์ ได้เริ่มต้นบรรยายถึงบทบาทของกองทัพกับประชาธิปไตย ที่รัฐบาลมักอ้างเสมอว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถือเป็นตัวแทนของประชาชน ย่อมมีความชอบธรรมในการสั่งการข้าราชการ ซึ่งรวมถึงกองทัพด้วยว่า การพิจารณาประชาธิปไตยอย่าพิจารณาแต่เพียงรูปแบบผิวเผิน ต้องดูที่เนื้อหาด้วย กองทัพต้องเลือกข้างโดยมีจุดยืนแน่ชัด มั่นคง
"ความเป็นกลางมีแต่เพียงในทฤษฎีเท่านั้นทุกประเทศที่มีประชาธิปไตยระบุบทบาทกองทัพว่าต้องพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย ดังนั้น ทหารต้องแยกให้ออกระหว่างชัยชนะทางทหารกับชัยชนะทางการเมือง เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มักอ้างเสมอว่า มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็สามารถทำลาย ประชาธิปไตยได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เพราะประชาธิปไตยมีทั้งสร้างสรรค์และทำลายล้าง เช่น การอ้างเผด็จการของสภาเสียงข้างมาก ทุกอย่างที่ทำต้องถูก ดี ชอบธรรม เป็นประชาธิปไตยเพราะตนมาจากการเลือกตั้ง"
นายสุรพงษ์ ได้ยกตัวอย่างการทำรัฐประหารโค่นระบอบเผด็จการของฝ่ายพลเรือนของนาย Antonio Salazar และนาย Marcello Caetano ได้สำเร็จ ทำให้ประเทศโปรตุเกสกลับมามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้บทบาทของทหารและกองทัพโดดเด่นน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของประชาชน ดังนั้น จะเห็นว่าการรัฐประหารที่ฝ่ายกองทัพโปรตุเกสทำเพื่อคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน ไม่ใช่เพื่อสถาปนาระบอบเผด็จการทหารเข้าแทนที่ระบอบเผด็จการพลเรือน
"เรื่องนี้ อยากจะบอกว่าทหารหรือกองทัพว่า ปัจจุบันกองทัพก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่สุดและมีอำนาจชี้ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามบ้านเมืองอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอมรับการบริหารจากสภาพการถูกครอบงำ โดยอำนาจผูกขาดของรัฐของรัฐบาล กองทัพก็สามารถมีบทบาทอันสำคัญยิ่งที่จะช่วยปกป้องส่งเสริมประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมาสู่สังคมการเมืองไทยได้เช่นกัน ประชาชนก็จะมั่นใจในกองทัพว่าจะอยู่เคียงข้างประชาชนในการกอบกู้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่สังคมได้อย่างแน่นอน" นายสุรพงษ์ กล่าว
หลังจากบรรยายเรื่องกองทัพกับประชาธิปไตยแล้ว นายสุรพงษ์ ได้เริ่มบรรยายเกี่ยวกับแนวความคิดว่าด้วยการเมืองว่า เป้าประสงค์สูงสุดของการเมืองใหม่ก็คือต้องเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากสภาพการถูกครอบงำโดยอำนาจผูกขาดของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ความคิด เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
การหลุดพ้น ทุกคนจะต้องเห็นความสำคัญและคุณค่าของการเป็นเสรีชน รู้จักคิดด้วยตนเอง หาคำตอบ และตัดสินใจด้วยตนเอง ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพลเมืองเป็นเสรีชนไม่ใช่ฝูงชน เสรีชนเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณชน สาวกเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชน สาธารณชนต่างจากฝูงชนคือ ฝูงชนไม่มีปฎิกิริยาไม่รู้จักคิดด้วยตนเอง เชื่อฟังอย่างเดียว ไม่มีคำถามและไม่มีคำตอบ ปล่อยให้ศาสดา(รัฐบาล) คิดแทน ตอบแทน ทำแทนถูกสนตะพายได้ทุกเรื่อง เหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลปัจจุบัน
แต่ถ้าประชาชนเป็นเสรีชนแล้วก็จะมีความคิดของตนเอง เพราะสามารถหาข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตนเอง ตัดสินใจได้ด้วยตนเองเพราะหาคำตอบได้ด้วยตนเอง จึงเป็นปัจเจกชนที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองของตนได้
ดังนั้น ความเป็นเสรีชนเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าใจว่าประชาธิปไตยมีทั้งรูปแบบเนื้อหาและไม่มีประชาธิปไตยที่แท้หรือที่สมบูรณ์ครบถ้วนไม่ว่าในสังคม การเมืองของประเทศใด หมายความว่าในสังคม การเมืองของทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะมีทั้งด้านที่เป็นประชาธิปไตย และที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
"ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งรูปแบบเนื้อหาสูงมากก็ถือว่าสังคม-การเมืองของประเทศนั้นมีลักษณะความเป็นประชาธิปไตยสูง หากมีแต่รูปแบบที่เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาที่เป็นประชาธิปไตยน้อยมาก ก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเพียงแต่เปลือกภายนอกเท่านั้น"
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลในยุคโลกาภิวัตน์ มีนโยบายชัดเจนที่จะผลิตพลเมืองที่รัฐบาลเห็นว่าเหมาะสมกับการเข้ามารับใช้นโยบายของรัฐบาล ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยกลไกต่างๆที่สามารถเป็นเครื่องมือของรัฐบาลได้ ซึ่งก็เช่นเดียวกับรัฐบาลที่กำลังกระทำอยู่ในเวลานี้ ดังนั้น ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อตามคำโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลและของพวกทุนนิยมสามานย์