“รมว.ยุติธรรม” โวเดินหน้าปราบยาเสพติด 6 เดือน อุ้ม “แม้ว” ไม่เกี่ยวฆ่าตัดตอน ลั่นไม่จำเป็นต้องแจง “ยูเอ็น” ชี้เป็นการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่าง
วันนี้ (2 เม.ย.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฐานะปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ซึ่งจัดโดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ศอ.ปส.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข นายพงษ์โพยม วาศภูติ ปลัดมหาดไทย นายกิตติ ลิ้ม ไชยกิจ เลขาธิการ ป.ป.ส.พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ทหาร ตำรวจ มาร่วมงานอย่างคับคั่ง
ทั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดทผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT ไปทั่วประเทศ โดย นายสมชาย เริ่มกล่าวมอบนโยบายว่าท่านนายกรัฐมนตรีป่วยกะทันหันไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถ้าเลื่อนกำหนดการไปวันเวลาก็ไม่รอคอยยาเสพติดก็เพิ่มทุกวันท่านจึงมอบหมายให้ตนมาทำหน้าที่แทน
ทั้งนี้ นโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลชุดนี้จะเริ่มเอาจริงเอาจังและมีการประเมินความสำเร็จตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.ภายใต้กลยุทธ์ที่มีสโลแกนว่า “3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น”
นายมชาย กล่าวตอนหนึ่งว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดอยู่ในทุกรัฐบาล และรัฐบาลนี้แถลงต่อสภา ว่า มุ่งมั่นจะปราบปรามซึ่งเป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้ อย่างไรก็ตาม การปราบปรามนั้นขึ้นอยู่เพียงว่าในยุคใดสมัยใดที่มีความเข้มเข้นเน้นหนักเอาจริงเอาจังเอาจังแค่ไหน ซึ่งบางรัฐบาลที่ผ่านมาก็เอาจริงเอาจัง เด็ดขาดและยาเสพติดลดปริมาณจำนวนมาก แต่ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นซึ่งเป็นการบั่นทอนความรู้สึกและความตั้งใจของผู้ปฏิบัติที่ดำเนินการ แต่สุดท้ายตนเชื่อว่ารัฐบาลที่มานั่งทำงานจะต้องมองถึงปัญหาและมองสวัสดิภาพและความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง
นายสมชาย กล่าวอธิบายถึงปัญหาฆ่าตัดตอน ว่า ยาเสพติดเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ที่ว่าผู้ใดมีไว้หรือผู้ใดค้าก็มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อก่อนเป็นการประกาศสงครามกับยาเสพติดก็ทำให้มุมมองกลายเป็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนจะไปฆ่าฟันทำลาย ทำร้ายร่างกายประชาชน ทั้งที่คิดง่ายๆว่าเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่ต้องดูแลและปราบปราม
“คนทำผิดกฎหมายทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าทหาร ตำรวจหรือคนที่มีส่วนในการช่วยเหลือดูแลก็ต้องดำเนินการทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผู้มียาเสพติด ผู้ค้ายาเสพติดต้องถูกดำเนินคดี จริงๆแล้วผมคิดว่าถ้าพูดง่ายๆก็พูดว่าการเน้นในการดำเนินคดีกับผู้มีความผิดตามกฎหมาย แต่พอพูดเป็นเรื่องสงคราม ทำให้มุมมองแตกต่างไป” นายสมชาย กล่าว
รองนายกฯ และ รมว.ศึกษาฯ กล่าวอีกว่า สำหรับรัฐบาลชุดนี้เพื่อไม่ให้ไขว้เขวกับความรู้สึกไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม อยากจะเรียนว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องการเอาจริงเอาจังกับการดำเนินการจับกุมหรือดำเนินการทางการเงินกับผู้ค้ายา ผู้ทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงเป็นที่มาของการรวมพลังประชาไทยพ้นภัยยาเสพติด
“เพื่อความเข้าใจกัน ไม่ใช่นโยบายที่ต้องการให้ทำร้ายร่างกายหรือฆ่าใคร เดี๋ยวจะเบนเป็นประเด็นเรื่องของการฆ่าตัดตอนกันอีก และอยากเรียนว่าผู้ค้ายาหรือผู้มีครอบครองมีความผิดทางกฎหมายจะต้องถูกจับกุมและทำดำเนินคดีโดยผู้มีหน้าที่โดยตรง” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ตนไม่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่จะไปฆ่าใคร แต่การที่มีคนตายโดยเจ้าหน้าที่นั้นมีกฎหมายรองรับและประมวลกฎหมายอาญามีชัดเจน “ผู้ใดกระทำเพื่อป้องกันภยันตราย ที่จะมาถึงแล้วป้องกันไปตามสมควรแก่เหตุ” ตรงนี้เห็นชัดเจนว่าไม่มีเรื่องที่จะฆ่าคน ไม่มีเรื่องที่จะทำร้ายคน แต่ถ้าเขาฆ่ากันเองก็ดำเนินคดี จะได้ตัดปัญหาที่ว่านโยบายฆ่าตัดตอน ซึ่งนโยบายนี้ไม่มีและท่านนายกเน้นย้ำมาแน่นอน เพราะรัฐบาลเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทุกท่านในการดำเนินการเรื่องนี้รวมทั้งที่ผ่านมาก็ตาม
นายสมชาย กล่าวอีกว่า นโยบายจะสวยอย่างไรก็ตามหากเจ้าหน้าที่ไม่ทำงาน ไม่สนใจ รวมทั้งหากรัฐบาลก็ไม่สามารถก็ไม่สามารถสื่อสารกับผู้ปฏิบัติ ไม่สามารถทำความเข้าใจหรือไม่มีความเห็นอกเห็นใจกับผู้ปฏิบัติ ทุกอย่างก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้น ตั้งแต่สวัสดิการหรือการดูแลเราก็ต้องเข้าอกเข้าใจผู้ปฏิบัติ ดังนั้นจะต้องเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นจะล้มเหลว
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการป้องกันยาเสพติดท่านนายกฯได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าราชการ ตำรวจ กองทัพ ฝ่ายปกครองและประชาชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ต้องมีการให้ความรู้กับเยาวชนชองชาติที่อาจจะเป็นผู้เสพรายใหม่ ว่า การเสพยาไม่ได้โก้ไม่ได้เก๋ ดังนั้น ต้องให้นโยบายว่าต้องเสียสละเวลาในวิชาต่างๆ ในการสร้างความเข้าใจกับเด็กในเรื่องพิษภัยของยาเสพติดเพื่อไม่ให้เข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังพิธี นายสมชาย ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงระยะเวลาที่มีการกำหนดระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.ว่า การปราบปรามทำตลอดทุกปีแต่อยู่ที่ว่าใครจะทำจริงหรือไม่จริง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเข้มข้นและเน้นย้ำ เพราะเป็นรัฐบาลใหม่ ต้องการทำจริงจัง และไม่ใช่ว่าจะครบกำหนด 30 ก.ย.แล้วจะหยุดดำเนินการ จะต้องประเมินจุดดีจุดเด่นจุดด้อยว่าอยู่ตรงไหน
“ไม่ใช่นโยบายการฆ่าตัดตอนอะไร การทำความผิดเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องของการทำผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด เพราะฉะนั้นทางที่ดีคือดำเนินคดีกับทุกคน ที่ผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ไม่ใช่เรื่องที่ไปฆ่าใคร แล้วก็ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องไม่ไปฆ่าหรือทำร้ายประชาชน เว้นแต่เรื่องที่ว่าเท่าเทียมตามกฎหมายคือป้องกันตัวของเขา ซึ่งต้องไปขึ้นศาล รวมทั้งวิสามัญก็ต้องไปขึ้นศาล และตำรวจต้องระมัดระวังไม่ให้เขาฆ่ากันเอง ถ้าใครฆ่ากันต้องจับมาดำเนินคดีทันที จะได้รู้ว่าใครเป็นคนร้าย” นายสมชาย กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวว่า การที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนให้ความสนใจเรื่องการปราบปรามยาบ้าของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะประเด็นการฆ่าตัดตอนที่มีการพูดถึงนั้น ทางกลุ่มองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมีการเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงไปแล้ว เราไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้มาตรการที่ดำเนินการขั้นรุนแรง หรือการฆ่าตัดตอน แต่ที่นายกรัฐมนตรีกังวลและฝากมาถึงตนคือให้ช่วยดูแลเจ้าหน้าที่ อย่าให้มีการไปฆ่ากันเอง
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะมีการตอบข้อกังวลของสหประชาชาติอย่างเป็นทางการหรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องไปตอบ เพราะยูเอ็นไม่ได้ถามมาอย่างเป็นทางการ และการดำเนินการเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องบอกเขาทุกอย่าง เมื่อถามว่ามีการมองว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ไม่เข้มข้นเหมือนรัฐบาลชุดก่อนๆ นายสมพงษ์ กล่าวว่า อยากให้สื่อมวลชนช่วยจับตาดู หากรัฐบาลไม่เข้มข้นก็ต้องช่วยกระตุ้น เพราะขณะนี้รัฐบาลโดนจับจ้องอยู่ตลอด ซึ่งประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกับประชาชนส่วนใหญ่ และการนำเสนอข่าวของสื่อก็มีผลต่อการทำงานของรัฐบาล ซึ่งหากแนวทางใดจะพัฒนาบ้านเมืองก็ควรจะมีเหตุผลในทางที่ดี และยืนยันว่า รัฐบาลจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
นายสมพงษ์ กล่าวว่า สำหรับผู้เสพย์นั้นมีปัญหาในการบำบัดรักษา ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด คือ อยากเรียกร้องให้ผู้ติดยาเสพติดเข้ามาบำบัดรักษา ที่ผ่านมามีผู้ที่ให้ความร่วมมือมากกว่านี้ จึงตั้งข้อสังเกตว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ประชาชนไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เพราะทุกอย่างหย่อนยานลง ซึ่งขณะนี้หากมีการจับกุมได้ก็จะนำเข้ารักษาในทันที