“สนทนาตัวตนสมัคร” ใช้ทีวีรัฐด่าฝ่ายตรงข้ามเต็มเหนี่ยว โดยไม่พูดถึงความผิดตัวเองแม้แต่น้อย ออกโรงหนุนแก้รัฐธรรมนูญเต็มพิกัดแบบด่วนจี๋ รื้อกันทุกหมวดทุกมาตรา เว้นหมวดพระมหากษัตริย์ โบ้ยร่างขึ้นมาเพื่อทำลายล้าง ซัดพวกรู้ทันคอยขัดคอ อ้างทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส ต่างชาติไม่เชื่อมั่น ทำขึงขังปรามลิ่วล้อ “ไข่แม้ว” อย่าม็อบป่วนพันธมิตรฯ 28 มี.ค.นี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมัคร สุนทรเวช ในรายการสนทนาประสาสมัคร
วันนี้ (23 มี.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เริ่มต้นเปิดรายการสนทนาประสาสมัครทางช่อง 11 และวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ว่า เวลาจะมาพูดทางโทรทัศน์ ซึ่งครั้งนี้พูดเป็นครั้งที่ 6 ปรากฏว่าใครต่อใครสั่งเสียกันใหญ่ มีแต่ขอบบอกว่าขอไม่ให้พูดเรื่องหนังสือพิมพ์ ไม่ให้ตำหนิ ไม่ให้ว่า ไม่ให้ออกความเห็นตอบโต้หนังสือพิมพ์
“แล้วผมจะจัดรายการนี้ทำไม ถ้าเผื่ออย่างนั้น ก็เขาว่ากันโครมโครมโครม เขาบอกว่าเขาเป็นกระจกส่อง แล้วผมก็บอกว่าอะไรเป็นอะไรยังไง ไอ้รายการนี้คือการที่ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเสพข่าว เสพหนังสือพิมพ์ เสพอะไรต่างๆแล้วบ้านเมืองนี้ก็มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เขาจะตำหนิติเตียนยังไงก็ทำได้ สถานีราชการตำหนินายกรัฐมนตรียังว่าได้เลยครับ ไม่เป็นปัญหา สถานีโทรทัศน์บางช่องเขาก็มีคนจัดรายการ มาจากไหนจากไหนก็ไม่รู้มาจัดรายการ พูดจาว่ากล่าวกระแทกแดกดัน เรายังไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรยังไงเลยครับ นี่ปัญหามันคือว่าจะให้เขานั่งถลุงเราข้างเดียว แล้วไม่ตอบไม่พูดเลย ไม่ช้าไม่นานก็จะมีปฏิวัติยึดอำนาจอีกถ้าแบบนั้นหละก็ มันก็เลวตามที่เขาว่ากล่าว”นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวอีกว่า แต่ถ้ามันมีช่องทางตรงนี้จะอธิบายความ ตนก็ขอบพระคุณที่แนะนำที่ตักเตือนว่าไม่ให้พูดอะไรต่างๆ แต่ว่าเมื่อตนพูดแล้วเขาก็มีวิพากษ์วิจารณ์กลับมา เราก็ตำหนิติเตียนบ่นเขาไป เขาก็พูดจา ตนก็ต้องทำความเข้าใจท่านผู้ชม
“คนหนังสือพิมพ์เขาเป็นคนเขียนวิพากษ์วิจารณ์ผม วิทยุ โทรทัศน์ก็วิพากษ์วิจารณ์ แต่ปัญหาว่ามันต้องร่วมผสมผสานกันกัน ปล่อยให้เขาถลุง อยู่ข้างเดียว แล้วยังไง แล้วเราก็บอกว่าจะเอางาน ต้องส่งงาน ต้องแสดงเรื่องงาน เรื่องงานเรื่องาน ผมก็ทำเรื่องงานเรื่องงาน เอาหละครับ คราวที่แล้วเขาก็ตำหนิว่า โอย นั่นก็พูดๆๆ ไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร นั่งแต่พูดๆๆ แปลว่าที่นั่งมานี่ไม่ได้ประโยชน์ ผมต้องทำความเข้าใจว่ามันมีประโยชน์บ้าง”นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวอีกว่า แล้วจริงๆการจะทำงานอะไรนั้นงานที่ตนทำก็พอมี แต่ว่าตนมีคนอีก 35 คนที่ทำงานกับตน ตนมาพูดจาอะไรต่างๆ เพราะคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องแสดงให้คนที่เขาเป็นประชาชนที่เขาดูได้รู้ว่ามันเป็นคนมีความคิดบ้าง ดังนั้นตนก็จะจัดรายการเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อจัดรายการเสร็จตนก็จะต่อท้ายด้วยสารคดีของตน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายสมัครได้เล่าย้อนให้ฟังถึงสารคดีที่จัดทำขึ้นพิเศษในรายการ อาทิ ทฤษฎีเศษสตางค์ เรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค ทุกข์เพราะเป็นหนี้กับวิธีแก้ทุกข์ และเรื่องทุกข์ของหมอ และนายสมัครได้ย้ำว่า “คนที่บริหารบ้านเมืองนี้มีความคิด ไม่ใช่มานั่งทื่อๆ เท่อ ๆ ไปนั่งเปิดร้านตัดริบบิ้น ไม่ใช่ คิดให้ฟังว่าคิดอะไรยังไง” อย่างไรก็ตามขณะที่นายสมัครได้กล่าวถึงเรื่องทุกข์ของหมอนั้นนายสมัครได้เล่าว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาตนได้เจอหมอ เพราะไปตรวจโรคตามปกติ 3 เดือนหน ซึ่งก็ดี น้ำตาลดี กิลซาไรน์ดี ทุกอย่างดีเรียบร้อยหมด
“ก็บอกให้รู้เท่านั้นแหละครับ ยังแข็งแรง พอฟัดกับอะไรได้อีกเยอะ” นายสมัคร กล่าว
นอกจากนั้นนายสมัคร กล่าวถึงแนวคิดในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรของนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพีว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เขาออกโทรทัศน์ก็ฟังเราก็ฟังนักธุรกิจเขาพูด แล้วนายกรัฐมนตรีจะสนใจที่เขาพูดแล้วหาหนทางแก้ไขไม่ได้หรือ
“กลายเป็นว่าเป็นพวกพ้องนายกรัฐมนตรีคนนั้นคนนี้ เป็นพวกพ้อง ไปอ่านหนังสือพิมพ์สิครับ ผมก็ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ เหมือนกับไอ้นายกมันต้องไปฟัง แล้วถ้าเราไม่ฟังที่เขาออกความเห็นที่มันน่าคิด ฟังไหม ซึ่งหลังจากที่ผมกลับจากสิงคโปร์กลับมาอ่านหนังสือว่า ไอ้สมัครไปคิด นายห้างซีพีคิดยังไงนายสมัครคิดยังงั้น เอ๊ะ ก็เขาพูดออกสาธารณะชนให้คนดู เราก็ต้องฟังว่ามันจริงไหมอย่างที่ว่า”นายสมัครกล่าวและว่าตอนหนึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตอนหนึ่งว่า ใครเป็นรัฐบาลลกลกลกแล้วก็ไป แต่ตนไม่รู้ว่าจะอยู่มากอีกเท่าไร ตนก็จะทำของตน ซึ่งไม่ต้องการไปหาคะแนนเสียงอะไรต่างๆ
จากนั้นนายสมัครกล่าวถึงการเดินทางไปเยือนสิงคโปร์ ซึ่งตอนหนึ่งนายสมัครเล่าว่า ตนได้สั่งให้คนปลุกตอนตี 5 เพื่อไปเดินตลาดสดตอนเช้าในเวลา 06.00 น. ซึ่งใครอยากไปด้วยก็ให้ไปด้วย รวมทั้ง พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ตนก็ได้ชวนท่านไปด้วย ส่วนพล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ตอนแรกตกลงกันว่าจะไป แต่ท่านไปติดอยู่ที่เมืองอะไรไม่ทราบได้ท่านจึงกลับมาไม่ทัน จากนันนายสมัคร เล่าถึงการพบประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ซึ่ง 35 ปีมาแล้วท่านประธานาธิบดียังจำตนได้ ซึ่งได้คุยกันหลายเรื่องแต่ตนเอามาเล่าให้ฟังไม่ได้ และเมื่อคุยจะจบท่านประธานาธิบดีตบไหล่แล้วบอกว่า มิสเตอร์สมัครสีของคุณไม่เคยเปลี่ยน ยัวคัลเล่อเนฟเว่อเช้น (your color never change)
ผู้สื่อข่าวรายงานช่วงหนึ่งขณะที่ทีมงานช่อง 11 ยกป้ายเพื่อให้นายสมัครตอบคำถามประชาชนที่ส่งเข้ามาได้แล้ว ปรากฏว่านายสมัครได้กล่าวว่า มีคนบอกว่าตนชอบเอาหนังสือพิมพ์มาแสดง โถ แล้วไม่แสดงได้อย่างไรก็ดูนี่สิ จากนั้นนายสมัครได้ชูหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้าและไทยโพสต์ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วก็ยกมาออกอากาศแล้วครั้งหนึ่ง และนายสมัครได้อ่านพาดหัวซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของรายการนายสมัครกล่าวตอบคำถามจากประชาชนที่เขียนมาถามว่าทุกวันนี้บ้านเมืองวุ่นวายเพราะสื่อเป็นเหตุ และขอให้นายกกำชับสื่อให้เสนอข่าวาสร้างสรรค์ นายสมัคร กล่าวว่า เขาสั่งมาแล้วว่าไม่ให้พูดไม่ให้จา ไม่ให้ดูแคลนแตะต้องสื่อ อีกทั้งอิสระเสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทยอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แตะต้องไม่ได้หรอกครับ ต้องให้เขามีอิสระเสรีภาพ เราก็ดูเขาว่าจะเป็นยังไง
“เราสิครับที่เป็นคนบริโภคสื่อ เราควรจะดูเลยว่าเมื่อเขาเสนอมายังงั้นเราจะเป็นยังไง ถ้าไม่เคยรู้เลยก็ขอบคุณมาก แต่ถ้าเสนอข่าวแล้วสมควรหัวเราะเยาะก็หัวเราะดังดังเลยครับ ปุโธ่เฮ๊ย สติปัญญามีแค่นี้ท่านจะมาทำหนังสือพิมพ์ เราก็ทำได้ส่วนตัวของเรา ในสาธารธชนไม่ต้องหรอกครับ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้ออ่าน ชอบก็ซื้อ 2 ฉบับแจกเพื่อนเลย”นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวถึงนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น นิติมธ. 01 ของตัวเองว่า โอย พูดจาอย่างโง้นอย่างงี้ ต้องดูอะไรยังไง คือเหมือนไม่เห็นด้วยที่จะแก้ ขณะที่ลูกกะโล่บอกว่าแก้ให้ผิดเป็นถูกไม่เห็นด้วย
“ผมจะบอกให้ฟังนะที่พูดนะ ไม่โดนกับตัวเองน่ะ พรรคที่โดนกับตัวเองออกมาแล้ว ผมโดนก่อน คนที่โดนมันถึงจะรู้ว่าเจ็บแสบยังไง โอย ผมจะบอกให้ฟังนะครับว่า มันต้องมีเหตุผลที่จะดำเนินการอย่างนี้ ที่ทำกันมาน่ะเจตนายังไง บอกได้ชัดเลยครับเกลียดพันธุ์คนนี้ ออกรัฐธรรมนูญเขียนทุกอย่างเพื่อจะให้พ่อคนนี้มันตายลงไป รัฐธรรมนูญออกมาแล้วดันไม่ตาย ไม่ตายก็ยังบากมาจนถึงป่านนี้ ก็จะเอากันให้ตาย”นายสมัคร กล่าว
ส่วนการที่นายชวนระบุว่าถ้านายสมัครเก่งจริงให้เปิดเผยว่ามือที่มองไม่เห็นคือใครนั้น นายสมัคร กล่าวเอาตัวรอดว่า ขอประทานโทษตนไม่เก่ง แต่ตนบอกได้เลยว่าคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขารู้ว่าไอ้มือนี้เป็นยังไง ท่านไม่รู้เคนเดียวก็เชยคนเดียวก็แล้วกัน
นายสมัคร กล่าวถึงการย้อนหรือไม่ย้อนหลังของกฎหมายว่า ก็หลักกฎหมายบอกว่าถ้าเป็นคุณย้อนได้ อย่างครั้งที่แล้วชอบมาว่าเป็นพวกศรีธนญชัย ทั้งที่คดีความเรื่องยุบพรรคเขาอยู่มาแล้ว 2 เดือน ยังไม่เป็นตัวเป็นตน แต่เมื่อยึดอำนาจประกาศฉบับที่ 27 ออกมาว่าถ้าหากมีการยุบพรรคให้คณะกรรมการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ทั้งที่เรื่องมันเกิดอยู่แล้วเขากำลังดำเนินคดีความเรื่องพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก พรรคเล็กจ้างพรรคใหญ่ลง แต่พอยึดอำนาจก็ประกาศออกมาก็ถือว่าเป็นกฎหมาย
“ประกาศตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 แล้วมาใช้วันที่ 30 พ.ค.2550 แล้วยังไงคดีความเขาเกิดอยู่ก่อน แล้วออกกฎหมายมาย้อนหลังไหม ย้อนหลังแหงๆเลย ทำไมได้หละครับยังงั้น ทำไมได้หละ ก็ทางนี้ก็จะทำ เขาบอกกฎหมายเป็นคุณย้อนหลังได้ เป็นโทษย้อนหลังไม่ได้”นายสมัคร กล่าวและย้ำอีกว่า คนไม่เดือดร้อนไม่รู้ ตนจึงบอกว่าตนมีปัญหา ซึ่งตนบอกว่าตนนั้นต้นทุนต่ำจะฟาดฟันกันยังไงก็เอามาแล้วกัน
ส่วนกรณีที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญบอกว่า ตนแอบอ้างชาติกับพรรคนั้น นายสมัคร กล่าวว่า เดินทางทำงานทำการติดต่อกับเขาหมด เพราะยึดอำนาจมาเขาหันหลังให้หมด เลิกยึดอำนาจก็โชคดีได้มีรัฐธรรมนูญ มีรัฐธรรมนูญแล้วได้เลือกตั้ง กว่าจะกระเสือกกระสน กระแดกกระดันเข้ามา โอ้โห แทบตายเลยครับกว่าจะได้ 233 คู่ต่อสู้เหลือ 164 เมื่อรวบรวมกันได้เป็นรัฐบาล 316 เสียง อียู อเมริกาเขาหันหลังให้ ไม่คบค้า จีน ญี่ปุ่นหันข้าง เมือ่ได้รัฐบาลเขาหันหน้าเข้ามา ซึ่งตนต้องเดินทางและเพิ่งได้ 4 ประเทศและยังต้องเดินทางไปอีกหลายประเทศเพื่อพูดให้เขาเข้าใจว่าเราปกติแล้ว เขาจึงชื่นชมยินดี
“แล้วบัดนี้หมอสุรพงษ์จะไปติดต่อสัญญา ไปไม้ได้แล้ว เพราะพรรคจะถูกยุบไม่ถูกยุบ ฝรั่งถามว่าตกลงยุบไม่ยุบ ตกลงเอายังไง มีคนข้องใจกันอีกแล้ว เกิดการปั่นป่วนกันอีกแล้ว ตั้งป้อมกันอีกแล้ว วันที่ 28 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ให้สถานที่ ก็เอาหละเป็นประชาธิปไตยให้สถานที่”นายสมัคร กล่าว
ส่วนกรณีพปช.จัดม๊อบชนม๊อบ นายสมัคร กล่าวว่า ไม่ใช่พวกของตน เขาเป็นส.ส.ของตนคนหนึ่ง เขาไปคิดก็ปากห้าม บอกว่าไม่ ต้องไม่ออกไป ก็พูดแค่นี้ ทั้งคณะใครไปเชิญไปชวนกรุณาอย่าออกไป
“พูดกันชัดเจนเลยนะครับ ไม่ต้องไปต่อตงต่อต้าน ไม่ต้อง ให้เขาแสดงไปข้างเดียวครับ คนทั้งบ้านทั้งเมืองจะได้เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไร บริหารบ้านเมืองมาได้เดือนครึ่งเท่านั้น หาว่าผมจัดตั้งรัฐตำรวจจัดการอะไรต่างๆ ตั้งเลยว่าทักษิณกลับมาแล้ว ทักษิณ กลับมาอีกแล้ว ไหวไหมครับอย่างงี้ กระโดกกระเดกล้มลุกคลุกคลานจนโงหัวแทบไม่ขึ้น พอตั้งตัวได้จะได้ถอนหายใจว่าเอ้อสักที เอาอีกแล้วครับ ผมบอกว่าปล่อยให้เขาเอาไปจะกี่หัวกี่หาง 1 2 3 4 5 ว่ากันไป คนของพรรคการเมืองไปร่วม หัวหน้าพรรคเขารับรองแล้ว มีสิทธิ แต่ของผมไม่มีสิทธิครับ ของผมบอกไม่ ผมไม่เอาอย่างงั้น ส.ส.เหมือนกันครับ อยู่สมุทรปราการเนี่ย ผมต้องออกปากทางโทรทัศน์เลย อย่าออกไป ในฐานะหัวหน้าพรรคอย่าออกไป ไม่งั้นไปเป็นเหยื่อไปเป็นเครื่องมือของเขา ไม่ได้หน้าตาอะไรขึ้นมาหรอกครับ ไม่ต้องต่อต้าน ดูสิว่าจะออกโรงกันเท่าไหร่ จะนั่งดูสิว่าเขาจะทำยังไง”นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ให้สถานที่ เราก็ไม่ขอให้ลำบากใจอธิการบดีเปล่าๆ ท่านจะให้ให้เลย แล้วเราจะดูสิว่าทั้งบ้านทั้งเมืองจะได้เห็นว่าใครมันดีใครมันเลว ใครมันทำอะไรเสียหาย หรือว่าถ้าปฏิวัติยึดอำนาจทำได้ แต่ว่าประชาธิปไตยเลือกตั้งมามีคนทักท้วงว่าทำไม่ได้
จากนั้นนายสมัคร ได้ตอบคำถามที่เขียนมาในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับว่า แนวทางใจตนอยากทำทั้งหมด แต่อยากจะให้มันเร็วก็จะแก้มาตราที่มันมีปัญหา แต่ตนบอกว่าวิธีแก้ไขต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 แล้วเก็บหมวด 1 ไว้ ซึ่งไม่มีอะไรเสียหายทุกอย่างถูกต้อง แล้วทั้งหมดก็เอาฉบับ 40 มาประกบ แล้วถ้าอะไรที่ 40 ไม่ดีก็ถอดออกไป อะไรที่ดีก็ทิ้งไว้ ต้องการเติมอะไรก็เติมเข้ามาก็คงง่าย
“แต่ยังไงก็ตามแต่ใจผมอยากจะ แหม เกรงใจคุณสดศรี จริงๆไอ้เรื่องแก้รัฐธรรมนูญมันต้องถามเลยครับ ลงประชามติกันไหมว่าแก้ไม่แก้ 2 พันล้าน ก็ไม่กล้าหรอกครับ เห็นด้วยกับท่านเลยว่าเสียของ จริงถ้ามันลงประชามติเสียสัก 500 ล้านบาท จะเอาเลยครับ ลงมติเลยครับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะแก้ไม่แก้ ถ้าเสียงส่วนใหญ่บอกไม่ต้องก็ไม่ต้องแก้ ถ้าส่วนใหญ่บอกแก้ก็แก้เลย ก็ให้เป็นความคิด แต่ไม่เสนอนะครับ เพราะ 2 พันล้านมันเกินเหตุ”นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวตอบคำถามที่ว่าทำไมนายกไม่ย้อมผมว่า ช่างตัดผมวัย 80 กว่าของตนที่ตัดให้ตนมา 40 กว่าปีบอกว่า อย่าย้อมเลยเพราะคุณเป็นนักการเมืองต้องจริงใจกับประชาชน เพียงแต่ผมก็ไปหลอกเขาแล้ว ตนจึงบอกว่าเห็นด้วยจึงไม่ยอมย้อมสีผม
เป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้ มีขึ้นในช่วงเดียวกับที่พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย กำลังถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเรื่องการยุบพรรค เนื่องจากมีกรรมการบริหารพรรคถูกให้ใบแดง ซึ่งมีเสียงระบุออกมาว่ากฎหมายบังคับว่าต้องส่งเรื่องให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคสถานเดียว ขณะที่พรรคพลังประชาชนก็มีความผิดในลักษณะเดียวกัน เนื่องจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคถูกให้ใบแดงด้วย
ขณะเดียวกัน มีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเร่งรีบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่าควรให้มีการบังคับใช้ไปชั่วระยะหนึ่งก่อน อีกทั้งเห็นว่าการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองครั้งนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญถึงกับกล่าวตำหนิอย่างรุนแรงว่า พรรคพลังประชาชนเห็นแก่ตัว ใช้บ้านเมืองเป็นตัวประกัน ทั้งที่นักการเมืองทำผิดกฎหมายทุจริตเลือกตั้ง แต่ไม่ยอมรับผิดกลับไปโทษกฎหมาย
/0110