“หญิงอ้อ” หน้าหงาย หลังศาลยกฟ้องคดี “นาม-ไทยโพสต์” หมิ่นประมาท แจงเหตุเพราะสิทธิเสรีภาพของ นสพ.ในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อ ปชช. ด้าน “นาม” สวมบทสุภาพบุรุษ ยันทำไปตามหน้าที่ไม่ฟ้องกลับ
วานนี้ (14 มี.ค.) นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้พิพากษายกฟ้องคดีคุณหญิง พจมานชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะโจทย์ยื่นฟ้องตน เป็นจำเลยที่ 1 กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ และผู้บริหารหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ 3 - 5 ในคดีร่วมกันละเมิด พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายตนจำนวน 500 ล้านบาท ส่วนหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์จำนวน 300 ล้านบาท ตามคดีดำเลขที่ 2608/2551
นายนาม กล่าวอีกว่า คดีดังกล่าวคุณหญิงพจมาน ได้ฟ้องตนในกรณีที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการจัดซื้อทีดินย่านรัชดาฯ หากศาลพิพากษาว่าการซื้อทีดินดังกล่าวผิดกฎหมาย ที่ดินต้องถูกริบทรัพย์ เหมือนกับโจรไปปล้นทรัพย์ โดยทรัพย์ที่ได้มาก็ต้องถูกริบทรัพย์เหมือนกัน ซึ่งศาลแพ่งได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทตามที่โจทย์ได้มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้นำคำสัมภาษณ์ของตน ไปเผยแพร่นั้น ศาลพิเคราะห์ว่า เป็นสิทธิเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ในการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชน
“โดยเฉพาะกรณีทีเกี่ยวข้องกับภรรยาของอดีตนายกฯ ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ คตส. ซึ่งประธาน คตส.ได้ให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม ดังนั้นการนำเสนอคำสัมภาษณ์ของสื่อจึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดโจทย์แต่อย่างใด เพราะการนำเสนอของสื่อถือเป็นประโยชน์แก่สาธารณะชน และประชาชน จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยุติธรรม ตามจรรยาบรรณของสื่อมวลชนที่พึงกระทำ ไม่ได้เป็นการละเมิดโจทย์ตามที่กล่าวอ้าง” นายนาม กล่าว
ประธาน คตส.กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณคณะทำงานของอัยการสูงสุดที่ได้เป็นทนายแก้ต่างให้กับตน ซึ่งประกอบด้วยนายภราดร ศรีศุภรางกุล นายยิ่งกลม สมฤทธิ์อุทัย และนายบุญรังสี นามวงศ์ ที่ได้ช่วยเป็นทีมทนายในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ด้วยความละเอียดรอบคอบ จนทำให้ศาลได้เห็นข้อเท็จจริงว่าตนไม่ได้ละเมิดตามที่โจทย์กล่าวอ้าง และขอขอบคุณศาลแพ่งที่ให้ความเป็นธรรมกับจำเลย ทั้งนี้ หลังจากศาลยกฟ้องแล้วตนยังไม่มีแนวคิดที่จะฟ้องกลับคุณหญิงพจมาน เพราะสิ่งที่ได้ทำไป เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่
