“ยามเฝ้าแผ่นดิน” แจงที่มาแถลงการณ์พันธมิตรฯ พร้อมชำแหละ “รัฐตำรวจ” 3 ยุค เย้ย “ดร.เหลิม” แค่หุ่นฟาง ท้าเผยตัวพ่อค้าสุวรรณภูมิโดนรีด เตือน “โฆษกสภาโจ๊ก” พูดซี้ซั้ว แกนนำแตกวง ชี้ “สนธิ” โดนรุมหนักหลังยืนหยัดสู้ ปฏิเสธผลประโยชน์-อำนาจจากระบอบทักษิณ วอน ปชช.ให้กำลังใจ 28 มี.ค.
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 12 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงแถลงการณ์ฉบับที่ 3/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า จากเดิมที่แถลงการณ์จะถูกร่างจาก 5 แกนนำ แต่วันนี้เพิ่มเป็น 13 คนมาช่วยร่างวิธีการออกแถลงการณ์ กำหนดยุทธศาสตร์ ทุกถ้อยความ ทุกย่อหน้าถูกกลั่นกรองอย่างมีเป้าหมาย แถลงการณ์ของพันธมิตรฯ ตั้งแต่ฉบับแรกจึงเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า
การที่พันธมิตรฯ ต้องออกมาอธิบายให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ ก็สืบเนื่องจากประชาชนได้รับข่าวสารจากสื่ออื่นๆ อย่างไม่ถูกต้อง จึงต้องมีการตอกย้ำลงรายละเอียดในเนื้อหาว่าเหตุใด พันธมิตรฯถึงออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเป็นการหยุดยั้งหรือทำให้คนคิดใช้วาทะกรรม หรือลีลาในการโต้วาทีหยุดคิดว่า ตรรกะเหล่านั้นมันใช้ไม่ได้
แน่นอนว่าพันธมิตรฯ ต้องการความสันติ การใช้คำว่า เคลื่อนไหวครั้งที่หนึ่ง ก็แปลว่า ย่อมมีครั้งต่อๆไป เป็นการเตือนรัฐบาลเพื่อไม่ให้ทำอะไรอย่างเหิมเกริม นอกจากนี้หัวข้อของแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ระบุไว้ชัดเจนว่า “ต้านเผด็จการทุนนิยมสามานย์และรัฐตำรวจ”โดยอ้างเหตุผลการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมก่อนถึงศาล ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย และแกนนำพรรคพลังประชาชนให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่
นอกจากนี้มีความพยายามฟื้นรัฐตำรวจอันน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับเหตุการณ์ร่วมสมัยในยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่มีแผนแม่บทที่จะสร้างกรมตำรวจให้เหมือนกับกองทัพทุกประการ เป็นยุคที่ตำรวจมีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันยังเป็นยุคที่มีการจัดชั้นอัศวินให้กับตำรวจที่ทำคุณงามความดี และในบรรดาชั้นอัศวินก็มีการแบ่งระดับชั้นย่อยลงมา โดยใช้แหวนเพชรเป็นการแบ่งชั้นอีกด้วย
อำนาจตำรวจในยุคนั้นได้ขยายวงกว้าง จนกระทั้งมีการคุกคามทหาร มีเหตุการณ์ตำรวจยิงทหารตายอย่างต่อเนื่อง ประชาชนถูกอุ้มฆ่าเป็นว่าเล่น ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงมาก จนในที่สุด จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ล้มรัฐตำรวจของ พล.ต.อ.เผ่า จนพังพินาศไป
จากนั้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็มีความพยามจะฟื้นรัฐตำรวจขึ้นมาคานอำนาจกับกองทัพ ถึงขนาดคุกคามโดยไม่แย่แส มีการเอารถโมบายไปดักฟังโทรศัพท์ของนายทหารว่า จะทำการปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่ จนเกิดฉายา “เหลิมดาวเทียม”(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง )ขึ้นภายหลัง
เตือน “เหลิม” อย่าเนรคุณ
ในสมัยนั้นมีความพยายามปรับเปลี่ยนใช้กำลังตำรวจแทนทหาร ไม่ว่าจะเป็นการอารักขานายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลขณะนั้นหวังใช้ตำรวจเป็นกำลังจู่โจมเร็ว แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ถูก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ และพล.อ.สุจินดา คราประยูร ทำการรัฐประหาร ล้มความคิดจะฟื้นรัฐตำรวจไปได้อีกสมัย คนที่เกี่ยวข้องอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศ คุณสนธิ (สนธิ ลิ้มทองกุล) ก็สงสารและช่วยเหลือในท้ายที่สุด ร.ต.อ.เฉลิม จึงไม่สมควรที่จะพูดถึงคุณสนธิในทางที่เสียๆ หายๆ ในเวลานี้
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ต่อมาก็เกิดรัฐตำรวจยุคที่สาม คือ ยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ก่อขึ้นโดยให้ตำรวจที่ใกล้ชิดไปอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ จนมีหลายกรณีตำรวจฆ่าประชาชนโดยที่ประชาชนไม่มีความผิด และกรณีที่คลาสสิกมากที่สุดหรือที่น่าอับอายไปทั่วโลก คือ การยิงปืนเข้าไปโดนตู้เย็นในบ้าน ประชาชนต้องหลบอยู่หลังตู้เย็นโดยไม่สามารถหลบหนี จนเป็นที่มาของคำว่า “ยุทธ ตู้เย็น” แม้กระทั่งกรณี ตชด.อุ้มฆ่าประชาชน ก็เป็นผลพวงการปราบปรามยามเสพติดโดยใช้อำนาจรัฐตำรวจ
ดังนั้น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นรัฐตำรวจที่เข้มแข็งเกรียงไกรมากที่สุด สังคมเกิดความหวาดระแวง มีความพยายามเข้าไปครอบงำฝ่ายความมั่นคง ส่งตำรวจไปคุมหน่วยงานด้านความมั่นคงมากขึ้นเรื่อย ความไม่เป็นธรรมขยายตัวไปตัวแผ่นดิน จนเกิดการรวมตัวของประชาชนเป็นพันธมิตรฯ ที่ออกมาต่อต้านอำนาจความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ในที่สุดฝ่ายทหารก็ออกมาทำการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งหากสังเกตรัฐตำรวจทั้ง 3 ครั้ง จะจบลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหารทั้งสิ้น
ผู้ดำเนินรายการ ยังสนับสนุนข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ที่ต้องการให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกอย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลนอมินีในการสร้างรัฐตำรวจ และใช้รัฐตำรวจในการคุกคามประชาชน พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องยอมรับธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมีความไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะไม่มีอะไรที่อยู่คงทนตลอด” ดังนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท จึงควรทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และกล้าหาญ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนเพื่อเป็นเกียรติแต่วงศ์ตระกูล “วงษ์สุวรรณ”
แนะ “ดร.เหลิม” อ่าน รธน.ให้เข้าใจ
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการออกมาตอบโต้พันธมิตรฯ ของฝ่ายรัฐบาล โดยเริ่มจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่เหน็บแนมพันธมิตรฯ ว่าควรจะไปตั้งพรรคเมือง และขู่จะเชิญพ่อค้าสุวรรณภูมิที่ถูกพันธมิตรฯ รีดไถนับพันล้านมาขึ้นเวทีแฉ ว่า ร.ต.อ.พูดไปเพราะเขาเป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 26 หากมีการยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งต้องพูดเช่นนี้ แต่จะให้ราคาหรือไม่นั้น น่าสนใจไหมเรื่องที่พูด ก็ขอเรียกร้องเลย ว่าพ่อค้าคนไหนที่ถูกพันธมิตรฯ รีดไถ ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่ระบุชื่อว่าเป็นพันธมิตรคนไหน ขอให้เอาข้อมูลหลักฐานมาพูดให้ชัดเจนไปเลย
ส่วนประเด็นที่ ร.ต.อ.เฉลิมเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองนั้น อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม อ่านมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ผ่านประชามติ และทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมได้มาเป็น รมว.มหาดไทย ที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือ หมู่คณะอื่น นั่นแสดงว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับว่าต้องเป็นพรรคการเมืองอย่าเดียว แต่มีองค์กรหลายรูปแบบ ซึ่งพันธมิตรก็เป็นองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญนี้
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า วิถีทางประชาธิปไตยนั้นมีหลายวิธี แต่ ร.ต.อ.เฉลิมนั้นเป็นแค่หุ่นฟางตัวหนึ่ง เราจึงไม่ควรไปหลงประเด็น และมีหุ่นฟางอีกตัวคือนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ที่ประกาศว่าจะสู้กับพันธมิตรฯ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยในวันที่ 28 นี้ เขาในฐานะแกนนำกลุ่มมหาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย ซึ่งมี ส.ส.ของพรรคหลายคนเป็นที่ปรึกษา และมีแนวร่วมจากกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มคนรักทักษิณจะมาร่วมชุมนุมด้วย เบื้องต้นจะชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ้าติดขัดจะไปบ้านพระอาทิตย์แทน เพื่อยื่นหนังสือวิงวอนให้นายสนธิเปลี่ยนใจไม่เคลื่อนไหว และอ้างว่าไม่ได้ขู่ แต่จะไม่ถอย ไม่ปล่อยให้ใครมาเหิมเกริมทำลายความสุขของคนไทย
ผู้ดำเนินรายการกล่าว่า แล้ววิธีการข่มขู่โดยแก๊งมอเตอร์ไซค์สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯนั้น เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ส่วนกิจกรรมของพันธมิตรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 28 มีนาคมนั้น ไม่ใช่การชุมนุมหรือเคลื่อนขบวน เป็นการอยู่กับที่เพื่อจัดสัมมนา เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่มีการข่มขู่ว่าจะนองเลือด จะแตกกัน จะฆ่ากันเอง เป็นการพูดที่ไร้สาระ
เตือน “ณัฐวุฒิ” อย่าพูดซี้ซั้ว
ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกมาตั้งตั้งข้อสังเกตว่า แกนนำพันธมิตรอยู่กันไม่ครบ โดยตั้งคำถามว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทำไมต้องไปต่างประเทศช่วงนี้นั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า พล.ต.จำลองเดินทางไปที่เกาหลีใต้ ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ต้องมีกำหนดล่วงหน้า ต้องทำวีซ่า ต้องกำหนดโรงแรมที่พัก ไม่ใช่นึกอยากจะไปก็ไป ไม่รู้นายณัฐวุฒิยังคิดว่าตัวเองยังเป็นหัวหน้าม็อบอยู่ หรือเป็นสมาชิกสภาโจ๊กอยู่ จึงดูเหมือนไม่มีวุฒิภาวะความเป็นรองโฆษกรัฐบาลอยู่เลย
“ถ้าอย่างนั้นคุณณัฐวุฒิจะรับผิดชอบไหม ถ้าสัปดาห์หน้าพล.ต.จำลองมาประชุม หรือสัปดาห์ต่อไปจะมาประชุมด้วยเรื่อยๆ คุณณัฐวุฒิจะหน้าแตก หรือจะรับผิดชอบขออภัยในการแสดงความเห็นว่าพันธมิตรฯ แตกแยกกันแล้ว จะรับผิดชอบไหม กล้าไหม คืออย่าพูดซี้ซั้ว หรือพูดแบบไร้ความรับผิดชอบ โดยไม่ดูสถานการณ์ข้อเท็จจริง”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า วันนี้แม้ พล.ต.จำลองไม่ได้มาเอง แต่ก็ส่งตัวแทนมา และมีองค์กรต่างๆ มาร่วมถึง 13 องค์กร เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากจะพูดถึงนายณัฐวุฒิมากนัก เพราะเป็นคนไม่มีราคา ที่ได้ดิบได้ดีถึงขนาดนี้ก็เพราเอาตัวเข้าแลก เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาขนาดนี้ ก็ถือว่ามาก เป็นสามล้อถูกหวยแล้ว
ระบอบทักษิณพุ่งเป้ารุมทำลาย “สนธิ”
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะเป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ว่า ในระยะหลัง นายสนธิตกเป็นเป้าหมายการทำลายของฝ่ายระบอบทักษิณมากเป็นพิเศษ มีการแถลงข่าวโจมตีพันธมิตรฯ ทั้งองค์กร ซึ่งในช่วงหลังๆ มีเป้าหมายโจมตีนายสนธิอย่างหนักอยู่เกือบจะคนเดียว แสดงว่าคนเหล่านั้นหวั่นไหวต่อการขับเคลื่อนของนายสนธิ
กรณีที่นายณัฐวุฒิ บอกว่าให้พันธมิตรฯไปเคลียร์เงิน 400 ล้านมาจากไหน หรือที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่ามีพ่อค้าสุวรรณภูมิถูกรีดไถ ก็เป็นเป้าหมายทำลายนายสนธิ ไปจนถึงการลอบสังหาร การลดความน่าเชื่อนายสนธิในสภา การให้สัมภาษณ์ การโพสต์ข้อความตามเว็บไซต์ และการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ นายสนธิเคยพูดบ่อยๆ ว่า มีคนติดต่อให้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายสนธิปฏิเสธ แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็ยังพูดผ่านสื่อว่าจะขอคุยกับนายสนธิ แต่ไม่สาเร็จ เพราะนายสนธิปฏิเสธ การต่อเสนอลาภให้นายสนธิมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่นายสนธิปฏิเสธมาตลอด โดยไม่รับการติดต่อด้วย และเชื่อว่ามีหลายคนที่ยอมสยบต่ออำนาจเงิน และอำนาจรัฐ ขณะที่นายสนธิไม่เคยรับประโยชน์เหล่านั้น ไม่มีทั้งอำนาจรัฐและไม่รับผลประโยชน์เหล่านั้น มิหนำซ้ำคนที่เคยช่วยก็เปลี่ยนอุดมการณ์เพื่อเข้าไปสู่อำนาจทางการเมือง หรือมุ่งหวังประโยชน์ทางธุรกิจ บางคนที่เคยสนับสนุน เคยร่วมต่อสู้ก็ถอยห่าง บางคนกลับลำไปร่วมรัฐบาลเพราะไม่สามารถทานทนกับอำนาจรัฐที่ใหญ่ หรือมีผลประโยชน์มาก อย่างที่มีคนพูดว่า อยู่กับสนธิมีแต่จน อยู่กับอยู่กับทักษิณมีแต่สบาย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า เวลานนี้นายสนธิถือเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับทุนสามานย์ที่มีแกนนำคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะฝั่งพันธมิตรฯ นั้น มีเครื่องมือสำคัญคือสื่อที่จะทำให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ข้อมูลไปพร้อมๆ กัน ขณะที่ตัวนายสนธิเองต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายเพื่อองค์กร โดยที่ไม่ได้แสวงหาประโยชนฺ์ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ต้องเดินขึ้นศาล ถูกฟ้องไม่รู้กี่สิบคดี แต่ก็ไปสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพร้อมรับคำพิพากษา
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า ถึงวันนี้ยังคงมีการรุกรานเอเอสทีวีและเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งส่งสัญญาณรบกวน ตัดออกจากเคเบิลท้องถิ่น ขณะที่สภาพของพนักงานขณะนี้ ต้องบอกว่า ยังอดอยาก เงินเดือนๆ นี้ ก็ยังไม่ได้ แต่สิ่งที่เราได้ คือความภาคภูมิใจในชีวิตที่ได้ยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง และทุกคนก็ยังอยู่พร้อมหน้า แม้จะอดอยาก ขณะเดียวกันคนที่เหนื่อยมากที่สุดและเจ็บปวดที่สุดคือนายสนธิ เมื่อรู้ว่าลูกน้องได้เงินเดือนไม่ครบ แต่ก็พร้อมยืนหยัดและได้รับกำลังใจจากพนักงาน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หากต้องการจะให้กำลังใจนายสนธิและเอเอสทีวี ขอให้ไปร่วมงานในวันที่ 28 มีนาคมให้มากที่สุด เพื่อแสดงพลังของภาคประชาชน และให้กำลังใจเราในการขับเคลื่อนการทำคุณงามความดีโดยไม่ต้องอายใคร ซึ่งงานในวันนั้นจะเป็นการสัมมนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกทุกรูปแบบ ซึ่งถ้ามีคนมาร่วมงานจำนวนมากก็จะได้รู้ว่าผู้ชมยังอยู่กับเรา
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )