ส.ว.สรรหาและเลือกตั้งนัดหารือนอกรอบก่อนการประชุมเลือกประธานสภาสูงวันศุกร์ที่ 14 มี.ค.นี้ ขณะที่ “ประสพสุข บุญเดช” เต็งเผยมีเสียงหนุนตุน 60 เสียง ประกาศพร้อมให้ตรวจสอบและทำสัญญาประชาคมในการทำหน้าที่ ส่วน “ส.ว.ห้อยบุรี” พร้อมสู้อ้างเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร
วันนี้(12 มี.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้จัดให้มีการประชุมหารือนอกรอบของสมาชิกวุฒิสภา โดยมีสมาชิกวุฒิสภาเข้าร่วมประชุม 138 คน มีส.ว.ที่ติดภารกิจไปต่างประเทศจำนวน 7 คน จากจำนวนที่ได้รับการรับรอง 144 คน โดยนางสุวิมล ภูมิสิงหราช เลขาธิการวุฒิสภา ได้กล่าวแนะนำสถานที่ กรอบการทำงาน รวมถึงการทำความเข้าใจการใช้บัตรเพื่อลงคะแนนเสียงในวาระต่างๆ และจะขออนุโลมใช้ข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภาปี 2544 ไปกว่าจะมีการร่างข้อบังคับการประชุม และทางสถาบันพระปกเกล้าได้กำหนดการสัมมนา ส.ว.ชุดใหม่ในวันที่ 21-22 มี.ค.เพื่อให้สมาชิกได้ทำความรู้จัก และทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งในวันประชุมวุฒิสภานัดแรกวันที่ 14 มี.ค.นี้ประธานผู้ทำหน้าที่กาประชุมคือ พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ ส.ว.สรรหา ซึ่งมีอาวุโสสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหารือในวันนี้มีประเด็นหลักๆคือ การเสนอตัวของผู้ที่จะเป็นประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภา รวมถึงแนวทางการทำงาน ทั้งนี้นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหาได้เป็นพิธีกรชั่วคราว โดยที่ประชุมได้ให้สมาชิกทั้งระบบการสรรหาและการเลือกตั้งแนะตัวตนเองก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นการหารือ จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นในตำแหน่งประธานวุฒิสภา
นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช ได้เสนอว่า ก่อนที่จะให้สมาชิกที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งต่างๆแสดงวิสัยทัศน์ เราควรพูดคุยและความเข้าใจในการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากบทเรียนจากส.ว.ปี 2543 ที่สังคมและสื่อมวลชนไม่ให้การยอมรับและไม่เป็นที่ภาคภูมิใจในการทำหน้าที่อย่างที่สังคมคาดหวัง ตนไม่อยากให้เกิดภาพสมาชิกแต่ละคนเอาความสัมพันธุ์เดิมๆที่อาจจะมาจากฐานเสียงกลุ่มนั้นกลุ่มนี้แล้วมายกมือโหวต โดยคำนึงถึงเกียรติศักดิ์ศรีของตนเองน้อยกว่า ซึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนง่าย แบกฝักแบ่งฝ่ายเป็นเสียงข้างมากข้างน้อยไม่ต่างจาก ส.ส.ที่แบ่งเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ไม่สามารถเป็นสภาที่มาว่าด้วยด้วยเหตุผล และไม่ดำรงความเป็นกลาง
ขณะที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล กล่าวว่า ขอเสนอให้ผู้ที่เสนอตัวเป็นประธานวุฒิสภา ได้แสดงวิสัยทัศน์โดยประกาศเป็นสัญญาประชาคมทั้งในและนอกสภาว่า ถ้าในอนาคตไม่ดำรงความเป็นกลาง เที่ยงธรรม มีพฤติการณ์ฮั้วขั้วอำนาจใดๆท่านจะให้สมาชิกเชิญท่านออกจากตำแหน่งได้อย่างไร เพราะการพูดว่าไม่ฝักใฝ่การเมืองก็เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ซึ่งระบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่เราควรสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ ไม่ใช่เลือกไปแล้วจบสมาชิกหมดสิทธิ์ที่จะตรวจสอบประธานวุฒิสภาได้ เราต้องสร้างกระบวนการความรับผิดชอบ ประธานวุฒิสภาจะต้องอยู่ในที่สว่างไม่เช่นนั้นก็หมดหวัง เหมือนกับสินค้าที่มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ดูแลสินค้า (สคบ.)หากสินค้าใดไม่มาตรฐานก็สามารส่งคืนได้ นักการเมืองเป็นสินค้าแต่ที่ผ่านมาไม่สามารถส่งคืนได้ ดังนั้นวุฒิสภาต้องสร้างช่องทางการเรียกคืนสินค้าได้ เหมือนเป็น อย.และสคบ.ทางการเมืองเพื่อให้ส.ว.เรียกคืนสินค้าได้และเลือกสินค้าตัวใหม่ได้ ซึ่งพฤติการณ์ในอนาคตจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าท่านจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่
จากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้ที่เสนอตัวเป็นประธานวุฒิสภาได้แสดงวิสัยทัศน์โดยให้ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ทั้งนี้พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง ได้ประกาศถอนตัวชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา โดยกล่าวว่า จากข่าวที่มีส.ว.ที่สนใจลงสมัครเป็นประธานวุฒิสภา 6-7 คน ซึ่งถือว่ามาก ตนเห็นว่าไม่เป็นผลดี เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ตัดสินใจ และให้การทำงานของวุฒิสภาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเดินไปข้างหน้าและที่มีข่าวว่าตนจะลงชิงตำแหน่ง ตนขอประกาศจะไม่รับการเสนอชื่อลงชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภาในครั้งนี้
จากนั้นสมาชิกที่เสนอตัวลงชิงประธานวุฒิสภา ประกอบด้วย นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ,นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ ,นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฏร์ธานี พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ได้ทยอยขึ้นแสดงวิสัยทัศน์
นายดิเรก แสดงวิสัยทัศน์ว่า เมื่อปี 2549 ตนก็ได้รับการเลือกเป็นส.ว.จน 5 เดือนก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตนได้ลาออกจากราชการโดยตำแหน่งล่าสุดคือเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อมาลงส.ว.สำหรับการทำหน้าที่ของส.ว.ที่มีหน้าที่ 4 ประการ ไม่เฉพาะคนที่เป็นประธานเท่านั้นแต่สมาชิกทุกคนมีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจและจากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ได้เห็นกฎหมายหลายฉบับปฏิบัติได้ยาก ประชาชนไม่มีส่วนรู้เห็นในการบัญญัติคนที่ออกกฎหมายคิดเองและคิดแทนชาวบ้าน ออกกฎหมายในห้องแอร์ ดังนั้นการร่างกฎหมายจะต้องเกิดจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงและคนที่เป็นประธานจะต้องทำหน้าที่การบริหารองค์กรนอกจากความรู้ความสามารถเรื่องในเชิงการบริหารก็มีความสำคัญ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข ต้องไม่โกรธ ต้องเป็นผู้รับใช้
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า หากได้เป็นประธานวุฒิสภา จะทำให้สภาเป็นที่ยอมรับของทุกคนมีเกียรติศักดิ์ศรี สมาชิกทุกคนจะต้องมีความโปร่งใสปราศจากการครอบงำจากฝ่ายการเมือง ต้องมีความงดงามน่าเลื่อมใส สภาไม่สามารถทำงานได้อย่างโดดเดี่ยวจะต้องประสานงานได้ทั้งข้าราชการ ส.ส.เพื่อนสมาชิก งานจึงบรรลุเป้าหมายได้ นอกจากนี้งานที่ผ่านมางานของวุฒิสภาไม่เป็นที่รับรู้ของสังคมถือเป็นจุดบอด ดังนั้นต้องประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างของวุฒิสภาให้ประชาชนรับทราบ อย่างไรก็ตามยังมีข้อติดใจของสื่อต่อตนว่า ตนมาจากจังหวัดบุรีรัมย์แล้วมีคนคิดว่าตนจะผูกติดกับการเมืองจะให้ตนทำอย่างไรเมื่อตนเกิดที่นั่น และเป็นข้าราชการ รับราชการที่นั่น ไม่รู้จะสลัดภาพนี้ได้อย่างไร ขอให้ทุกคนให้ความเป็นธรรมและเข้าใจตนด้วย
นายประสพสุข กล่าวว่า งานที่ทำเกี่ยวกับงานด้านตุลาการโดยเฉพาะ เชื่อมั่นว่าจะทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา เมื่อเข้าได้รับตำแหน่งจะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรม สามารถตรวจสอบได้ หากทำงานให้ความผิดพลาด บกพร่องยืนดีให้สมาชิกทุกคนตรวจสอบการทำงาน อย่าว่าแต่ตำแหน่งประธานวุฒิสภา ตนก็จะลาออกจากวุฒิสภาด้วย รวมทั้งยินดีให้ดำเนินคดีทางอาญาด้วย
นายประเสริฐ กล่าวว่า ถ้าหากได้เป็นประธานวุฒิสภา เรื่องสำคัญที่จะต้องทำคือ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องและยุติธรรม ตรวจสอบได้ หากทำงานบกพร่องไม่จำเป็นต้องให้ส.ว.ถอดถอน ซึ่งตนจะพิจารณาตนเองโดยการลาออก ทั้งนี้ตนไม่ยึดติดกับตำแหน่งและตำแหน่งประธานวุฒิสภาไม่ใช่ตำแหน่งที่แสวงหาผลประโยชน์ หากได้เป็นจริงจะสร้างการยอมรับของวุฒิสภาและสร้างเกียรติภูมิให้รับสภาไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตน
พล.ต.ท.มาโนช กล่าวว่า ไม่เคยล็อบบี้ใคร เพราะเชื่อในเกียรติภูมิและวุฒิภาวะของสมาชิกทุกคนว่า จะเลือกคนที่จะมารับช้าสมาชิกและประชาชน อย่างที่หลายคนพูด วิสัยทัศน์จะเขียนให้สวยหรูอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ สำหรับหากทำงานแล้วไม่เกิดประโยชน์หรือเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็พร้อมพิจารณาตนเอง และโดยส่วนตัวเชื่อว่าสมาชิกทุกคนในที่นี้สามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานวุฒิสภาได้ทุกคน ซึ่ง 2 ปี หากตนอยู่ในตำแหน่งก็เพียงและพร้อมลุกออกให้คนอื่นมาทำหน้าที่ต่อได้ บทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งเป็นความล้มเหลวของวุฒิสภา เราจะต้องไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า การจะพูดหรือเขียนวิสัยทัศน์ที่สวยหรูจะทำอย่างไรก็ได้ บางคนไปจ้างคนอื่นเขียนแล้วเอามาพูด แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะทำหน้าที่ได้อย่างนั้นจริง ซึ่งตนคิดว่า การทำงานของคณะกรรมาธิการมีความสำคัญมากเป็นหัวใจของวุฒิสภา ถ้าได้รับความไว้วางใจจะมอบให้ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะต้องเป็นวิปวุฒิสภาเป็นผู้ตัดสินใจในการบรรจุวาระต่างๆ รวมถึงการถอดถอนและตรวจสอบโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะเอนเอียงไปทางไหน สำหรับตนแค่ถูกตำหนิก็คงนั่งในตำแหน่งไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องรอให้สมาชิกมาถอดถอนหรอก ยืนยันว่าไม่เคยไปต่อรองตำแหน่งกับใคร ยังเสียดายว่า ถ้ารู้ว่า นายประสพสุข จะลงชิงตำแหน่งก็อาจจะตัดสินใจไม่ลงมาตั้งแต่แรก แต่ขณะนี้เหมือนตกกระไดพลอยโจนไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแสดงวิสัยทัศน์ของ พล.อ.เลิศรัตน์ ได้มีนายทหารติดตามนำหนังสือชื่อ ”60 ปี ของพล.อ.เลิศรัตน์ เส้นทางชีวิตที่อุทิศเพื่อชาติและสังคม”ซึ่งรวบรวมประวัติและผลงานตลอดชีวิตการเป็นทหารของพล.อ.เลิศรัตน์ ให้กับสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้หลังจากการแสดงวิสัยทัศน์ตำแหน่งประธานวุฒิสภาแล้ว พล.อ.เลิศรัตน์ลุนายประสพสุข ได้เดินเข้าไปทักทายส.ว.สรรหา เพื่อทำความรู้จักด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ผู้ที่สนใจลงชิงประธานวุฒิสภาได้แสดงวิสัยทัศน์แล้ว ที่ประชุมได้ให้ผู้สนใจลงชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาได้แสดงวิสัยทัศน์คนละ 3 นาที โดยเริ่มคนแรก คือนางจิราวรรณ วัฒนศิริธร ส.ว.เชียงราย นายขจร นางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา รศ.ทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ นายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ ส.ว.ปทุมธานี และนายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นสมาชิกได้ขอหารือถึงกรอบเวลาในการแสดงวิสัยทัศน์ ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ โดยได้มีการเสนอให้ใชเวลา 5-8 นาที แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยจะสรุปอีกครั้งในวันประชุม และปิดการประชุมนอกรอบในเวลา 13.00 น.