ปธ.กกต.สวนกลับ “ยุทธ ตู้เย็น” ถูกขบวนการจัดฉากกลั่นแกล้ง ยัน กกต.มีหลักฐานการรับเงินชัดเจนอย่าอ้างมั่ว ชี้ช่อง “ยุทธ” ขอตัว “สมชัย” เป็นพยานในชั้นศาลได้ ฐานค้านใบแดง
วันนี้ (27 ก.พ.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงมติกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ทุจริตเลือกตั้งว่า มติที่ถูกต้องก็คือ 3 ต่อ 1 ต่อ 1 น่าจะถูกต้อง เพราะนางสดศรี สัตยธรรม งดออกเสียง โดยเรื่องนี้ก็ถือเป็นเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน ดังนั้นจึงถือว่านางสดศรี ไม่ได้บอกว่าจะให้หรือไม่ให้มติอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากต้องการให้รวมสำนวนที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีต ผอ.สำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม เป็นสำนวนเดียวกัน ส่วน กกต.อีก 4 คนก็ได้ลงมติในเรื่องนี้
“ประชุม กกต.ได้หารือว่าควรสอบพยานปากสุดท้ายตามที่นายยงยุทธร้องขอ แต่ท้ายที่สุดก็เห็นว่าเรื่องนี้ยืดเยื้อมามากและไม่จำเป็นต้องสอบ เพราะพยานหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้ง กกต.ได้ให้โอกาสสอบสวนเพิ่มเติมหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานปากสุดท้าย”
ส่วนที่ไม่ได้สอบพยานเพิ่มเติมตามที่ร้องขอก็ไม่คิดว่าจะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้นายยงยุทธนำไปต่อสู้ในชั้นศาลได้ เพราะว่าพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องสอบเพิ่มอีก และเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เนื่องจากเราต้องทำในเวลาที่จำกัด ดังนั้น เมื่อเรื่องไปถึงศาลอาจจะไปเพิ่มเติมในชั้นนั้นได้ แต่ต้องขออนุญาตศาล
“ผมมองด้วยสายตาของคนที่เคยเป็นศาลที่เคยวินิจฉัยพยานหลักฐานต่างๆ ยืนยันว่าทำด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว เพราะในชั้น กกต.เราไม่ได้พิจารณาหลักฐานจนปราศจากข้อสงสัยเหมือนคดีอาญาที่พิจารณาในศาล ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต.เพียงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะในสำนวนได้บอกว่า มีการให้เงินแต่พยานจริงจนทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อีกทั้งยังปรากฏอีกว่ากำนันที่เป็นพยานมีการยืนยันอยู่หลายคนว่าได้รับเงินคนละ 2 หมื่นบาทจริง ซึ่งยืนยันว่าจากพยานหลักฐานที่ปรากฏทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ โดย กกต.ได้ทำอย่างตรงไปตรงมาและไม่รู้สึกกดดัน อีกทั้งไม่มีใครมากำหนดหรือมาวางแผนให้ กกต.ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไปตามหน้าที่ที่เราต้องทำไป และไม่อยากให้เกิดปัญหา อยากจะให้ทุกอย่างมันสงบเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ตนเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าหลักฐานต่างๆ ในสำนวนเป็นเท็จหรือไม่ แต่จากที่ได้พิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ เห็นว่าควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส่วนวีซีดีนั้นดูแล้วก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา เพราะนายยงยุทธก็รับอยู่แล้วว่ามีการเดินทางมาพบกันจริง ดังนั้นเราจึงวินิจฉัยว่ามีการพบจริง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พยานบุคคล โดยหลังจากนี้ กกต.ก็คงต้องเรียบเรียงคำวินิจฉัยกลางเพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา ส่วนการดำเนินคดีอาญาฐานนายยงยุทธติดสินบนเจ้าหน้าที่นั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนฯ จะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
“ในฐานะที่เคยเป็นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในยุคบุกเบิก ศาลก็จะทำงานให้เร็ว คาดว่าน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4 เดือน ซึ่งภายหลังที่ศาลฎีการับคำร้องของ กกต.นายยงยุทธจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในทันที หากศาลยืนยันว่าเห็นว่าให้ใบแดงปกติ กกต.ก็จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสอบสวนว่าพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะจากที่ กกต.พิจารณาเบื้องต้นไม่ได้มองว่าเรื่องนี้จะต้องยุบพรรคหรือไม่ เรามองเพียงจำเป็นต้องเพิกถอนสิทธิหรือไม่”
ส่วนที่นายยงยุทธออกมาระบุว่าหลังการเลือกตั้งมีนายทหารระดับนาย พล.อ.ล็อบบี้ กกต.ให้ใบแดง นายอภิชาต กล่าวว่า “ไม่ได้มีการล็อบบี้เลยครับ ไม่ล็อบบี้เลย แม้กระทั่งข่าวที่ว่า ขอให้ กกต.ลาออกเพื่อเกิดผลเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งนั้นก็ไม่เคยมีใครสั่งผมได้หรือมาพูดว่าให้ผมทำอย่างนั้น เรื่องนี้ยืนยันได้”
เมื่อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าจะถูกเช็กบิลหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย นายอภิชาต กล่าวว่า ตนถือว่าเข้ามาทำงานตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และผ่านการคัดสรรเข้ามาตามกฎหมายทุกอย่าง ทั้งนี้เราเข้ามาทำงานเพราะเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งก็ตั้งใจว่าจะทำงานอย่างสุจริตและตรงไปตรงมาที่สุด
“ผมไม่กลัวว่าหลังจากตัดสินเรื่องนี้แล้วจะไม่ปลอดภัย เพราะตลอดชีวิตที่เป็นผู้พิพากษามา 33 ปี ต้องตัดสินคดีจำนวนมาก พิพากษาประหารชีวิตไปก็มาก ดังนั้นเราต้องทำใจให้นิ่ง หากเราทำไปตามตรงและเป็นหน้าที่ของเรา เราก็ทำเพื่อความถูกต้อง โดยคงไม่ต้องขอความคุ้มครองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะหากกกต.ไม่มีความตรงไปตรงมาและ กกต.สามารถกำหนดได้ สั่งได้ และเบี่ยงเบนได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีองค์กรนี้ และภายหลังตัดสินสำนวนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจอะไร แต่เป็นหน้าที่ที่ก็ต้องทำ” ประธาน กกต.กล่าว และว่าหลังจากนี้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยจะเป็นผู้รับผิดชอบทำสำนวนส่งศาล
ทั้งนี้ นายสมชัยยังแสดงความมั่นใจการทำงานของฝ่ายสืบสวนสอบสวน แม้นายสมชัยที่ดูแลงานด้านนี้จะมีมติยกคำร้อง เพราะเมื่อทำแล้วก็ต้องส่งมาให้ กกต.ตรวจพิจารณาอีก จึงต้องทำให้ดี แต่ถ้านายยงยุทธขอให้นายสมชัยไปเป็นพยานในศาล เนื่องจากเป็นผู้ลงมติให้ใบขาวได้หรือไม่นั้นตนเห็นว่า หากจะอ้างกับศาลก็สามารถอ้างได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าศาลจะเห็นสมควรให้เรียกไปเป็นพยานหรือไม่ แต่ตามหลักแล้วสามารถอ้างได้