xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “หมัก” จ้อช่อง 11 โต้ “ฆ่าตัดตอน” - แจง “ยูคาฯ-โครงไก่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจัดรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ.2551 ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นหลักที่คุยกับประชาชน คือ การชี้แจงเรื่องนโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ที่อ้างว่าไม่ใช่การฆ่าตัดตอน ชี้แจงนโยบายการปลูกต้นยูคาลิปตัสตามคันนาของ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ไม่ส่งผลกระทบต่อดิน เรื่องราคาสินค้าที่ถูกหรือแพงตามหลักดีมานด์-ซัปพลาย และชี้แจงกรณีที่เคยเรียกร้องให้คนกินซีโครงไก่ต้มฟัก ว่าความจริงไม่ใช่ซี่โครง แต่เป็นโครงไก่ทั้งตัว


รายละเอียดการสนทนาในรายการ มีดังนี้

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ สนทนาประสาสมัคร

“สวัสดีครับ ท่านผู้ชมที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช วันนี้มาพูดจาภาษาสมัครเหมือนเช่นเคยครับ ขอเรียนว่า เสียงเหมือนจะเป็นหวัดนิดหน่อย พูดเยอะนะครับ เริ่มต้นจะพูดอย่างนี้ครับ อยากจะเริ่มขอบพระคุณ นานๆ จะมีหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวเขียนถึงผมในทางที่ดี ขอบพระคุณหนังสือพิมพ์มติชน คุณเสฐียรพงศ์ วรรณปก ที่เขียนถึงผม อ่านมาเมื่อตอนเช้านั่งมาในรถอ่านหนังสือในรถปกติไม่อ่านนะครับ มันดูเห็นว่ารูปกำลังไหว้พระ ขอบพระคุณจริงๆ นะครับ ท่านเขียนหนังสือ ท่านมีข้อคำถามมา 3 ข้อ ผมจะพยายามงวดหน้า ผมจะพูดเกี่ยวกับงานพุทธศาสนาที่ท่านฝากผมไว้นะครับ ขอเรียนสั้นๆ ตรงนี้ว่า ก็อ่านจบเมื่อกี้ก็เรียนไว้เลย

ต่อจากนี้ไปก็จะพูดถึงว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นอะไรที่หนักหน่อย เพราะเหตุว่า วันที่ 18-20 ก.พ. 3 วันเขาเรียกว่าไปให้ทางสภาตรวจสอบ เรียกว่ารัฐสภานะครับมาทั้ง 2 สภาเลยนะครับ มาตรวจสอบนโยบาย ก็สนุกเหมือนกันนะครับ 40 ชั่วโมง 3 วัน ก็ไป

ความจริงท่านจะเห็นผมโผล่บ้าง ผมนั่งอยู่ข้างหลัง เขามีห้องของนายกรัฐมนตรีให้ แล้วก็มีจอให้ เวลาที่หนังสือมาเป็นแฟ้ม ผมก็นั่งเซ็น แล้วก็นั่งดูไปฟังไป ได้กินข้าวข้างหลังบ้าง พอถึงเวลาก็ขึ้นมานั่งบ้างให้รู้ว่าอยู่ ไปไหนไม่ได้ ไปไหนก็เป็นขบวนผู้คนเขาก็รู้ว่าไป วันนั้นผมก็ไป 2 คัน อันนี้ก็บอกให้ทราบครับว่า 3 วันก็นั่งอยู่ข้างใน นั่งฟัง จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ต้องออกไปงานหน่อย

ที่ต้องพูดให้ฟังก็คือว่า เรื่องทั้งหมดในสภาฯ สุดท้ายก็จบลงประมาณเกือบตี 1 เสร็จงานวันนั้นวันที่ 21 ได้พัก 1 วัน ก็มีงานนะครับวันที่ 21 มีงานตักบาตร มีงานในวังด้วย ต่างๆ เรียกได้ว่าได้พักสักวันหนึ่ง พอถึงวันที่ 22 ก็เริ่มทำงาน ความจริงงานจะเริ่มจริงวันที่ 25 คือพรุ่งนี้นะครับ จะนัดข้าราชการระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงมาหมดนะครับ มารับฟังนโยบาย

**โอ่ต่างชาติเริ่มเข้าหา

คือนโยบายเขียน เขียนเสร็จแล้วก็ไปให้เขาตรวจสอบในสภา จากสภาก็เอามาให้ข้าราชการ แปลมาว่าเขาจะต้องทำอะไรอย่างไร พอทำงานเสร็จวันที่ 25 ก็เริ่มทำงานเลย แต่ก่อนวันที่ 25 มันจะมีวันศุกร์ที่ 22 อันนี้นะครับ เขามีคนมาเยี่ยม 2 คณะ ทีแรกก็ไม่ได้ดูอะไรอื่น คือตั้งใจไว้เลยว่า คณะไหนก็จะแบ่งปันกันไป ก็รองนายกฯ ตั้ง 6 คน ก็แบ่งกันรับบ้าง คณะนั้นคณะนี้

ของมาจากญี่ปุ่นเขาเรียกว่าเป็นเขตคันไซ เป็นเขตเศรษฐกิจคันไซ เขามีคันโต กับคันไซ เขามี 9 จังหวัดในญี่ปุ่น ยกกันมาเลยครับ 16 คน พอดูแล้วเขาก็มีหมายเหตุมานิดหนึ่งว่า เป็นคณะแรกที่มาฟังความในเรื่องธุรกิจการค้า ผมบอกงั้นผมรับเอง ก็ไปรับเขา ได้คุยชั่วโมงหนึ่ง ก็เลยได้ทราบว่า เขาคิดกับเราอย่างไร เขาตั้งใจมาดี เขตคันไซ สนามบินคันไซ คงเคยได้ยินนะครับ นั้นนะครับ เมืองโอซาก้า เมืองเกียวโต เขาอยู่ย่านนี้นะครับ 9 จังหวัด เขาก็เป็นการแสดงเครื่องหมายที่ดีครับว่า พอมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ธุรกิจการค้าก็กลับมาเหมือนเดิม ตอนผมปราศรัยผมก็บอกว่า นี่ อเมริกาหันหลัง อียูหันหลัง จีนหันข้าง ญี่ปุ่นหันข้าง ทีนี้ญี่ปุ่นหันหน้าแล้ว ญี่ปุ่นยกคณะมาเลย ก็รับ แล้วก็มีคณะเล็กๆ เขาเรียกว่าคอนเกรสเมนท์จากอเมริกา ขอมาสนทนา ธรรมดารัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ก็อาจจะฝากรัฐมนตรีต่างประเทศคุย แต่อ่านดูเขาก็มีหมายเหตุมาอีก เป็นคณะแรกที่มา เดโมเครต 4 รีพับลิกัน 2

เขาเป็นคณะกรรมาธิการครับ เขาจะมาฟังความว่า บรรยากาศในประเทศไทยหลังจากการเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลใหม่ ก็ต้องขอเจรจาความเองอีก ก็หมายความว่าขอรับแขกเอง คุยกัน 11 โมงครึ่ง เลิกคุยอีก 5 นาทีบ่ายโมง ผมก็คุยไม่ได้ดูนาฬิกา ก็คุยไปเรื่องสบายๆ มา 6 คน 6 คนก็มี 6 ความเห็น 6 คำถามนั่งคุย คือเราก็พยายามตอบคำถาม ก็คุยกับเขาฟังครึ่งทางเหมือนกับตอบคำถามกลายๆ ก็ได้ประโยชน์ครับ เขาก็อยากฟังความเรา เราก็บอกเราเป็นอย่างไร เขาอยากรู้อะไรต่อไปอีก เราก็บอกเขาอธิบายความ ก็อยู่ในขอบเขตนะครับ เที่ยวไปลงข่าวกันว่า ฝรั่งมาสมัครคุยแต่เรื่อง 6 ตุลา ไม่หรอกครับ ไม่มีหรอกครับ เรื่องพรรค์อย่างนั้น มันประหลาด ทำไมต้องอย่างนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมก็ทำหน้าที่ของผม พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นที่เข้าใจกัน

จากนั้นแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะประชุมข้าราชการ ที่ลำดับความไว้ก็คือว่า เราจะดำเนินการอย่างไร คือผมเอง เขาเตรียมการว่าผมจะต้องพูดกับข้าราชการ ในขณะเดียวกัน ที่ผมได้มีโอกาสพูดกับท่านเจ้าของประเทศทั้งหลาย ผมก็ควรจะบอกว่าแล้วผมจะทำอย่างไร ผมจะทำอย่างไรเรื่องนี้ ก็จะบอกเลยว่า โครงการที่ใหญ่ๆ 5 โครงการนี้นะครับ โครงการขนส่งมวลชนในเมืองหลวง โครงการรถไฟทั่วประเทศ โครงการเรื่องน้ำ โครงการเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการแพทย์ เรื่องทั้งหมด มี 5 โครงการใหญ่ ก็จะตั้งใจดำเนินการ ก็คือว่า ทำเป็นคณะกรรมการ 5 โครงการ โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานทั้ง 5 โครงการ เพื่ออะไรครับ เพื่อจะได้ไม่ให้ปล่อยให้รัฐมนตรีไปทำงานโดยโดดเดี่ยว เรื่องที่จะลงมือใน 1 ปีนี้นะครับ ลงมือเลย

การลงมือก็คือว่า ทุกอันเขาจะได้มีคณะกรรมการ แล้วก็จะตามไปดู ไปประชุม และเรื่องที่จะส่งไปดู เรื่องความเป็นไปได้ เรื่องปฏิบัติการ คือเริ่มลงมือทำงานเลย เรื่องที่เกี่ยวกับขนส่งมวลชนก็เดินหน้า จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เดินหน้าไปถึงการประมูล ญี่ปุ่นมาเขาบอกเลยครับ ท่านทูตขอคุยกับผมก่อน ว่า เรื่องอะไรต่างๆ เรื่องเงินกู้ เรื่องอะไรค้างๆ เรื่องดอกเบี้ยร้อยละ 1.4 มันเป็นความปรารถนาดี ผมนึกถึงเวลาผมรณรงค์เลือกตั้ง ผมนึกถึง ว่าเลือกตั้งมาแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร มันก็ควรจะกลับมาสู่สภาพเดิม แก้ไข ผมบอกอยากให้มันกลับมาสู่สภาพเดิม ก็เริ่มออกเดินทางไปแล้ว ก็มาเรียนให้ทราบว่า บัดนี้มันกลับสู่สภาพเดิม มาจัดการ มาติดต่อ มาทำการค้าการขาย มาลงทุน

ก็ทยอยกันมาเรื่อยนะครับ ก็บอกให้ท่านทราบว่า มันถึงเวลาจะได้ทำงานแล้ว กรรมวิธีมันยืดเยื้อมานานแล้ว มาเลือกตั้ง 23 ธันวา ดูสิครับ กว่าจะเข้ามาสภาฯ ได้ 22 มกรา กว่าจะเสร็จได้ถวายสัตย์ปฏิญาณวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พอมาถึงวันที่ 18 ถึงจะได้เข้าเอานโยบายเข้าไปในสภาฯ วันที่ 22 ก็แขกบ้านแขกเมืองมาแล้วเจรจาความ วันที่ 25 ก็ไปถึงข้าราชการ หลังจากนั้นแล้วพวกผมก็เดินทางมาทำงาน ก็เรียนในทราบนะครับรายการอย่างนี้มีประโยชน์ตรงนี้นะครับที่มาลำดับความให้ฟังกันไว้

**ป้อง “ฆ่าตัดตอน” อ้างแก๊งยาสังหารกันเอง

ทีนี้มีอะไรไหม เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่พูดจากันแล้วไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจกัน เขาก็บอกว่า บางอย่าง ผมก็ไม่อยากจะพูด ตัดประเด็นไปพูดกันในสภาฯ เรื่องที่เอาเรื่องเอาราวกัน ผมจะไม่พูด ไม่มีปัญหาจะทำ ในสภามีสิทธิ์ที่จะสอบถาม ผมจะตอบให้ เรื่องที่จะต้องสนทนากัน ก็คือว่า บางครั้งบางคราวที่ให้สัมภาษณ์ธรรมดา คือเขาตอบเขาถาม คนที่เขานั่งดูเขาบอกเลยว่า คุณสมัครเอาอีกแล้วไปตอบโต้ไปชี้แจง ผมก็บอกว่าเป็นสัญชาตญาณของผม คือจะพูดจาถามไปตอบมา เอาละผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย กับท่านผู้ชมที่นั่งฟังอยู่ทั้งหมดนี้

คือคำว่า นโยบายฆ่าตัดตอน ประหลาดไหมครับ ใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอน ซึ่งจะพูดกันยาวๆ แบบที่นินทากันนะครับ คือ นโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด จากผมการปราบปรามนั้น เหตุที่แล้วมานั้น มีการกล่าวหากันว่า รัฐบาลนั้นไปฆ่าตัดตอนผู้คน ตั้ง 2,500 คน ผมจะถามจริงๆ ว่า เป็นไปได้อย่างไร เขาตรวจสอบไปแล้ว ตำรวจก็บอกว่ามีที่เขาเรียกว่าวิสามัญฆาตกรรม คือตำรวจไปจับไปยิงไปต่อสู้กันแล้วฆ่ากันตาย 59 ราย ซึ่งทุกรายตำรวจต้องขึ้นศาล นอกเหนือไปจากนั้น ก็พยายามอธิบายเลยครับว่า เขาค้ากัน เราตรวจสอบ เรายกนิรโทษกรรม ให้คน 600,000 คน พวกค้าเม็ดสองเม็ด พวกอะไรต่างๆ ก็เอาตัวมาแล้วสอบย้อนขึ้นไป พอสอบขึ้นไปก็ขึ้นไปๆ ก็ใกล้ถึงตัวการ เขาก็ฆ่าตัดตอนกัน

คำนี้นะครับ ต้องขอทำความเข้าใจกัน ผมก็ไม่อยากไปตำหนิสื่อมวลชน แต่ไปๆ มาๆ คำว่าฆ่าตัดตอนนั้นมันกลายเป็นนโยบาย ผมต้องย้อนถามว่า ที่เขาพูดกัน ผมถามว่าทำไมถึงได้เดือดร้อนแทนผู้ค้ายาเสพติด ก็บอกว่าผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่า ผมบอกผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าได้อย่างไร ถ้าตำรวจไปวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจก็ต้องไปขึ้นศาล แล้วถ้าเขาไปตัดตอนฆ่ากันเอง แล้วเราจะต้องไปรับผิดชอบ มาอ้างอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำอย่างไร ใครจะฆ่าใครมันก็มีกฎหมาย ทุกอย่าง ทุกคน ก็มีกฎหมายเข้าไปถึง ต้องเข้าใจแบบนี้นะครับ ถ้าไม่งั้นเป็นไง ตาย 5,000 ถ้าถามอย่างนี้ ถ้ามันจะฆ่าตัดตอนกัน 5,000 มันก็ต้องเป็นเรื่องของฆ่าตัดตอน

กลายเป็นว่าเอาอีกแล้ว เมื่อนายกฯ คนก่อนฆ่าไป 2,500 นายกฯ คนนี้ร่วมมือกับมหาดไทยจะฆ่า 5,000 มันไปกันใหญ่ ไม่เข้าเรื่องเข้าราวกันเลย ก็แล้วถามว่าจะเป็นคนดี ไม่ให้มีเรื่องพรรค์นี้ ก็ไม่ต้องทำนโยบาย นโยบายปราบปรามยาเสพติดไม่ทำ ไม่ได้นะครับ ต้องทำ แล้วเมื่อทำแล้วก็จะเกิดอย่างนี้ คำที่ผมพูดไปนี้นะ กลายเป็นว่าพูดไปพอออกไปรายงานข่าวแล้ว มันกลายเป็นเหมือนผมเป็นคนร้าย เป็นคนใจร้าย ผมบอกนโยบายดำเนินการเหมือนเดิม ครบถ้วนหมด ถ้าตำรวจไปวิสามัญฆาตกรรมตำรวจก็ต้องรับผิดชอบขึ้นศาล นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าเขาไปฆ่ากันเอง ผมจะทำอย่างไร คำนี้นะครับ

สื่อสารมวลชนไม่ยอมเข้าใจ อะไรก็ฆ่าตัดตอน เดี๋ยวใช้อย่างไร นโยบายฆ่าตัดตอน มันได้อย่างไรครับ นโยบายฆ่าตัดตอน ผมต้องพูดกับท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของประเทศ เรามีนโยบายต้องปราบปรามยาเสพติด ลูกหลานท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องโดน มันเข้ามานี่เกือบ 2 ปี ตอนนี้กลับเข้ามาอีก เท่านั้น ท่านผู้เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลายท่านต้องช่วยกันเข้าใจด้วย ว่า ตกลงต้องปราบนะครับ แล้วถ้าปราบแล้วตำรวจเขาไล่จับกัน แล้วเขาต่อสู้กัน เรียกวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจต้องรับผิดชอบ ต้องไปขึ้นศาล ต้องมีกฎหมายครบถ้วน แต่เมื่อสอบไปสอบไป จะหาถึงตัวใหญ่ เขาก็ไปฆ่าตัดตอนกันเอง

ผมเข้าใจว่า ท่านประชาชนทั้งประเทศคงจะเข้าใจความหมายนี้ว่า เขาฆ่ากันเอง แล้วนโยบายนี้จะต้องยุติหรืออย่างไร ชอบพูดกันไปถึงสหประชาชาติ ไปอ้างไปอิงต่างๆ คนที่อยู่ไกลทางโน้นก็ไม่ฟัง มันเหมือนกับเราสั่งให้ตำรวจเอาปืนไปไล่ไปยิง แล้วก็บอกว่าเดือนนั้นต้องฆ่าเท่านั้น เท่านี้ ไม่มีครับ นโยบายอันนี้ไม่มีหรอกครับ ที่จะให้ฆ่าเดือนนั้นเท่านั้นเท่านี้ แล้วไม่ได้สั่งให้ไปฆ่าด้วย

ถามว่า ถ้าเขาไล่ไปจับกันอยู่ ยาเสพติดอยู่ในรถ เขาวิ่งไล่กันไป ทางโน้นยิงมา ทางนี้ยิงไป แล้วก็เกิดมีการตายกันขึ้นมา อันนี้ตำรวจก็ต้องไปขึ้นศาล พิจารณา ถ้าเขาไปตัดตอนกันเอง แล้วเราต้องรับผิดชอบ ผมย้ำนะครับ เหมือนกับพูดวนไปวนมาในอ่าง แต่ต้องพูดซะ แล้วบอกกันว่า สมัครเอาอีกแล้ว พูดจารุนแรง อีกแล้ว ไปพูดตอบโต้ ผมจะพยายาม ที่แนะนำมาผมก็ขอบคุณ เพราะว่าเวลามานั่งดูโทรทัศน์ คนนั้นถาม คนนี้ถาม ผมฟังแล้ว ผมต้องใช้คำว่า ถามโดยไม่มีเหตุผล ผมก็พยายามไปตอบ เขาบอกที่ตอบอย่างนั้น แสดงว่าเราเหมือนเป็นคนร้าย ดูสิถ้าไม่ปรับทุกข์กับท่านจะปรับทุกข์กับใครที่ไหน

เอาเท่านี้นะครับ เป็นที่เข้าใจกัน เมื่อไหร่ที่ใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอนขอให้ท่านผู้ชมทั้งหลายได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า เขาใช้สำนวนผิด เขาใช้สำนวนเหมือนกับว่า ไม่ต้องการให้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดอีกต่อไป เพราะต้องการให้เข้าใจผิด และชวนให้คนในโลกนี้เข้าใจผิดด้วย นะครับ

** อุ้ม รมว.วิทย์ปลูกยูคาฯ

ตัดไปก็มีเรื่องอะไรคุยให้ฟังบ้าง คราวนี้ก็ปัญหาว่า ท่านรัฐมนตรีว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์ ท่านเรียนกฎหมาย นะครับ ท่านบอกคุณพ่อบังคับให้เรียน แต่ตัวท่านชอบวิทยาศาสตร์ และสนใจ แล้วท่านก็ชอบตรงนี้ คือท่านชอบแล้วท่านยังชอบต้นไม้แล้วก็ศึกษาเรื่องต้นไม้ พอรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์บอกว่า จะปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนา เพื่อช่วยพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยเศรษฐกิจ ก็ท่านคิดอย่างนี้ คนที่พูดอย่างนี้ ก็ต้องรู้ในสิ่งที่เขาพูด เขาถึงได้อธิบายความ ....

ท่านชอบต้นไม้แล้วก็ศึกษาเรื่องต้นไม้ พอนักวิทยาศาสตร์บอกว่าจะปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนา เพื่อช่วยพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ท่านก็คิดอย่างนี้ไง คนที่พูดอย่างนี้ ก็ต้องรู้ในสิ่งที่เขาพูดถึงได้อธิบายความ ท่านโวยวายกันใหญ่ ออกข่าวเป็นทำนองเหมือนว่า เอาอีกแล้วเป็นรัฐมนตรีไม่รู้เรื่อง ยูคาลิปตัสปลูกลงดิน มันกินดิน มันดูดดิน มันทำดินเสียหาย ช่างพูดกันจริง มันมีอะไรครับ มันสำปะหลังก็เป็นอย่างเดียวกัน แต่มันสำปะหลังมันใส่ปุ๋ย แต่ไอ้ต้นไม้พันธุ์นี้ไม่มีใครใส่ปุ๋ย เขาปลูกกัน เขาดูแลกัน ก็สุดแล้วแต่ แต่ว่าเมื่อเวลาฟังความ รัฐมนตรีที่โดนอย่างนี้ไป ผมก็โดน ใช้คำสำนวนผมเข้าไป ต้องแส่เข้าไป ไปดูหน่อย บังเอิญผู้เชี่ยวชาญยูคาลิปตัสขอพบผม ขอสนทนา คือคุยทางโทรศัพท์ได้ไหมครับ ไม่ได้ จะพูดเอง พูดเองมาเลย

ผมก็ลงมา นัด 3 โมงเย็น คุยกันถึง 4 โมงน่ะครับ เชี่ยวชาญจริงๆ เราก็ได้รู้เหมือนที่เจ้าหน้าที่ บอกว่า ยูคาลิปเมื่อ 20 ปีก่อน มันเปลี่ยนพันธุ์ เปลี่ยนแปลงใหม่ แล้วการค้นพบของอาจารย์ท่านนี้ มีเหตุผล แล้วท้าได้ พิสูจน์ได้ ทางราชการก็รับรอง แต่ว่าเขาปลูกพันธุ์ใหม่ แล้วเขาปลูกที่ไหน เขาปลูกบนคันนา

เขาค้นพบว่า เขาปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนา พอปลูกไปปลูกมา ที่แรกคันนาก็แคบ เขาเห็นแล้วว่าพอปลูกแล้วข้าวบนนามันได้มากขึ้น อะไรต่างๆ ก็ได้มากขึ้น ใบก็เป็นปุ๋ย ก็ค้นพบว่าเมื่อปลูกต้นไม้บนคันนานั้น รากมันออกไปอยู่ในผืนนา แล้วเมื่อไถแล้ว เมื่อรากมันถูกไถ ปรากฏว่ารากต้นยูคาลิป มันเป็นปุ๋ยที่ดีสำหรับต้นข้าว แล้วในขณะเดียวกัน เมื่อไปไถโดนรากมันที่อยู่ในคันนา คือว่าถ้านี่เรียกว่าคันนา ต้นไม้อยู่บนคัน แล้วรากก็ออกไปอยู่ในนา เมื่อไถมันก็ตัดราก ตัดรากต้นก็สะดุ้ง ต้นสะดุ้งแล้วเป็นไง ต้นสะดุ้งแล้วไม่ตายหรอกครับ มันโตใหญ่ มันโตมากขึ้น แล้วข้างในนาที่ถูกตัดออกไปปนกันข้างในนั้นก็เป็นปุ๋ย ใบร่วงมาก็เป็นปุ๋ย ข้าวได้มากขึ้น

ก็ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ คนเป็นรัฐมนตรีเขาเข้าใจ เข้ารู้ เขาเลยเห็นอย่างนี้ เขาจึงแนะนำ ผมจะให้ดูตัวเลข ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อไหมครับยูคาลิปที่ปลูกกันจริงๆ ใช้ทำกระดาษ เดี๋ยวจะบอกว่าไปทำอะไรได้อีก ปลูกยูคาลิปบนเนื้อที่ 1 ไร่ ที่ดอนๆ ธรรมดาเนี่ย แห้งๆ เนี่ย ได้ 300 ต้น 5 ปี ตัดยูคาลิปมาได้ไม้ 2 ตัน ฟังให้ดีนะครับ 1 ไร่ ปลูกได้ 300 ต้น ตัดมาแล้ว 5 ปี ได้ไม้ยูคาลิป 2 ตัน ที่นี้ที่เขาปลูกบนคันนา ปลูกบนคันนา ข้าวยังปลูกได้นะครับ ต้นยูคาลิปอยู่บนคันนา นา 1 ไร่ 40 เมตร คูณ 40 เมตร 1,600 ตารางเมตร ใน 40 เมตรเนี่ย เขาทำคันนาให้มันโตขึ้นนิดนึง ที่คันนาเป็น 1 เมตร 50 คันนาธรรมดามัน 50 เซนติเมตร ศอกเดียวเนี่ย เดินคนเดียว เขาทำเป็น 3 เท่า เดินซ้ายเดินขวา แล้วปลูกต้นสับไปสับมา ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา ข้างหนึ่งปลูกได้ 50 ต้น คือ 25-25 ชนกัน คู่กัน สลับกันไปมา 40 เมตรเนี่ย ปลูกได้ 50 ต้น อีก 40 เมตร ปลูกได้อีก 50 ต้น แปลว่าปลูกบนคันนาเป็นตัวแอล ด้านเท่ากันนะครับได้ 100 ต้น ปลูกบนคันนา 100 ต้น 2 ด้านเท่านั้น 5 ปี ได้ไม้ 5 ตัน

ท่านลองคิดดูสิครับ ปลูก 300 ต้น เต็มที่เลยได้ 2 ตัน 5 ปีเหมือนกัน แต่ปลูกเป็นตัวแอล ทางนี้ 50 ทางนี้ 50 จำนวน 100 ต้น ได้ 5 ตัน มันเจริญเติบโตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนเป็นรัฐมนตรีเขาไม่ตื่นเต้นเหรอ เขายิ่งตื่นเต้น สมัยที่เริ่มต้นใหม่เกือบ 20 ปีก่อน ตอนได้กล้ามาใหม่ กล้าต้นละ 3 บาท ขึ้นไปต้นละ 8 บาท เดี๋ยวนี้ลงมาเหลือ 4 บาทแล้ว เขาก็ปลูกกัน การที่คนเป็นรัฐมนตรีเขาจะปรารภช่วยกันปลูกต้นยูคาลิป เพื่อจะช่วยชาติพัฒนาเศรษฐกิจ ไม้เศรษฐกิจ อย่างนี้ไม่ได้หรือครับ ต้องได้ครับ ผมก็เลยว่าถ้าไม่งั้นรัฐมนตรี ผมคุยวันนั้น ผมสัมภาษณ์แล้ว เขาก็ไม่สนใจเท่าไหร่ ผมก็มาเลย วันนี้ผมจะคุยให้ฟังเอง

ที่นี้คุยเรื่องต้นไม้ต้นเดียวเนี่ย มันก็ยังมีอีกต้นหนึ่ง ต้นนี้เกี่ยวกับต้นนั้น พูดซะทีเดียวเลย ต้นไม้จะได้ไม่ซ้ำกัน คราวหน้าจะพูดเรื่องอื่น ต้นอีกต้นหนึ่งชื่อต้น ตะกู, ตะกูเนี่ย ตอ สระอะ กอ สระอู , ต้นตะกู แถวๆ นครปฐมก็มี เขาเรียกเจ้าพ่อวังตะกู ชื่อต้นไม้นะครับ วังตะกูเนี่ย ต้นตะกูเนี่ยมันเป็นยังไงครับ มันเป็นไม้ประหลาด มันเพาะขึ้นมาจากเม็ดขึ้นมาเหมือนกัน ต้นไม้ที่โตขึ้นมามีใบใหญ่เหมือนใบสัก ต้นไม้คล้ายต้นสัก แต่นี่มันโตเร็วมาก 1 ปีเนี่ย มันสูง 7 เมตร 8 เมตร ต้นไม้ 1 ปี สูง 7 เมตร 8 เมตร แล้วขึ้นตรงชะลูดเลยครับเหมือนต้นสัก ต้นไม้เนี่ยถ้าเผื่อต้นไม้อายุ 10 ปี เอาเด็กไปโอบ เด็ก 2-3 คนไปโอบรอบ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ เขาถ่ายรูปมาด้วยครับ ผมก็อยู่หนังสือเล่มนี้ครับ แต่ว่าคราวหลังจะเอาให้ดู คือไม่อยากมาทำกันตรงกลางเวทีเนี่ย ชื่อต้นตะกูครับ

ที่มันดีคือยังไงครับ ไอ้สารพัดอะไรผมไม่อยากพูดหรอก เขาบอกว่าเนื้อมันคล้ายไม้สัก แล้วมอดไม่กินเหมือนไม้สัก มีความทนทาน เอาไปทำเครื่องมือ ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้แทนไม้สัก ปลูกไม้เอาเนื้อนะครับ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้นี่ก็ยังไม่ทราบว่า เมื่อเราเข้ามามีต้นไม้ ต้นไม้เนี่ยออกข่าวเมื่อปลายพฤศจิกายนเมื่อปีกลาย เพิ่งจะ 3 เดือนเท่านั้นเอง ผมก็ช่วยเอามาคุยให้ เพราะอะไร ใครมีที่ ใครจะปลูก ปลูกได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ครับ มันปลูกได้ทุกฤดูกาล ปลูกได้ทุกดิน แล้วมันดี มันทนทาน มันคล้ายไม้สัก แต่ราคามันไม่แพง แล้วมันโตเร็วมาก ไม้สักต้องใช้เวลา 30 ปีถึงตัด ยิ่ง 40 ปียิ่งดี ไอ้นี่ 10 ปีตัดได้ครับ ตัดไม้เท่ากับต้นซุง เท่ากับไม้สัก แล้วถ้าเผื่อต้น 1 ปี มันสูง 7-8 เมตร ท่านคิดดูก็แล้วกันครับ ตรงเป๊ะเลย เขามีรูปมาให้ดู ชื่อต้นตะกู ก็เอาเรื่องต้นไม้ 2 ต้นเนี่ยครับ

**ตีปี๊บงานเพชรพลอย

ถัดไปก็มีเรื่องของเรื่องเพชรพลอยที่ว่า รัฐมนตรีมิ่งขวัญ ก็บอกมา พอท่านไปได้ตัวเลขก็สนทนาเจอผม ก็จูงมือมานั่งคุยเลย เอากระดาษให้ดูน่าตื่นเต้น ปีหนึ่งค้าขายกันอย่างนี้ 1 แสน 8 หมื่นกว่าล้าน ไม่น่าเชื่อนะครับ ปีนี้เขาจะทำให้ถึง 2 แสน ถามว่าบ้านเมืองเรามีวัสดุดิบจะเอามาทำอย่างนั้น ไม่มีหรอกครับ หมด แต่คนไทยเกิดมีความเก่ง เก่งในการที่ว่าเอาวัสดุดิบ ก้อนเล็ก ก้อนโต ก้อนใหญ่เนี่ย จากต่างประเทศนะครับ ทั่วโลกเลยนะครับ ดิ้นรนไปหาซื้อกันมาแล้วเอาเข้ามาเนี่ย เขาเอามาเผา

ไอ้อุณหภูมิการเผาเนี่ยครับเป็นความลับ เป็นความลับของประเทศไทย ของคนไทย แล้วไม่ให้ใครที่ไหนอื่น เพราะฉะนั้นวัสดุดิบทั้งหลายที่เป็นก้อนเป็นอะไร ก็จะมาถูกเผาในประเทศไทย เห็นไหมครับ กลายเป็นว่าที่เราเป็นศูนย์กลางของอัญมณีของโลก มีโรงเรียนด้วยนะ อยู่แถวสีลม แล้วเขาก็ทำกรรมวิธีกัน

ที่ผมต้องมาบอกวันนี้ก็คือ ไม่ใช่โฆษณาสินค้านะครับ โฆษณาให้ฟังว่างานจิวเวอรี่เนี่ย เขาจะมีวันที่ 27 วันนี้วันที่ 24 อีก 3 วัน เขามี 6 วัน 27 ถึงวันที่ 3 ก็อยากจะเชิญชวน ไปชมนะครับ ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ไปชมให้มีความตื่นเต้นว่า บ้านเมืองของเรา ธุรกิจอัญมณีเนี่ย ปีกลาย 1 แสน 8 หมื่น 5 พันล้าน เขามาออกร้านกันเนี่ยนะครับ 111 ประเทศ แล้วก็ออกบูท 3 พันกว่าบูท คนที่จะมาร่วมงานนี้อย่างน้อยๆ 3 หมื่นคน ต่างชาตินะครับ 3 หมื่นคน คนไทยจะไปดูเท่าไหร่ไม่ทราบได้ เขาว่าธุรกิจการค้าที่เขาจะค้าขายกันเนี่ยในวันที่เปิดงานเนี่ยประมาณ 2 หมื่น 5 พันล้าน นี่เป็นเรื่องที่ต้องเรียกว่าตื่นเต้นนะครับ ฝีมือของเราเนี่ย การจะทำอะไรการใด เขามีโรงเรียนจัดทำว่าทำเจียระไนมาแล้ว จะทำเซตติ้ง จะทำอะไรต่ออะไรเนี่ย

ของเราเจ๋งนะครับ แม้กระทั่งอย่างกับพลอยของเรา พลอยแดงของเราเนี่ย ทับทิมของเราเนี่ย ก็ไปเมืองจันทบุรี ทุกวันนี้ยังมีคนมุงกันแน่นตามถนนต่างๆ ไปดูเถอะ เขามีอะไรให้ใครต่อใคร ไอ้ตัวที่เขาตัดเป็นเล็กๆๆๆ เป็นชิ้นๆ เนี่ยนะ กองเหมือนของไม่มีราคา แต่บัดนี้มันกลายเป็นของมีราคาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่าแต่ก่อนเนี่ยเขามี เขาเรียกว่าผูกขาด ใครทำแบบนั้นไม่ได้ ต่อมาเรื่องที่จะทำ แบบที่จะเอาพลอยมาตัด มาตบแต่งเครื่องประดับ เขาบอกหมดการผูกขาด เพราะฉะนั้นท่านไปตามโรงแรม มีร้านจิวเวอรี่ต่างๆ ยืนดูเถอะครับ แหวนต่างๆ เนี่ยครับ แหวนก็มีเพชรบนนั้น เอาทับทิมเนี่ยมาเจียระไน เจียระไนเป็นเส้นๆ เป็นชิ้นๆ แล้วเรียงปะๆๆ บางทีก็เอาสี่เหลี่ยมๆ มาปะๆๆ คือเอาชิ้นเล็กมาต่อให้เป็นชิ้นใหญ่ เป็นพื้นสีแดงแล้วก็เพชรสีขาว

ไอ้ศิลปะอันนี้แหละครับ ฝรั่งทำนะครับ ไทยก็เลียนแบบ บางทีไทยก็ทำ ไทยก็มีฝีมือ แล้วก็พวกเศษทั้งหลายที่กอบมาเนี่ยแหละครับอยู่ในประเทศไทยครับ ที่อยู่ในประเทศไทย เพราะฉะนั้นไอ้ชื่อที่ฝรั่งเรียกว่า 9 gems เนี่ยนะครับ เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์ 9 อันเนี่ย มีครบถ้วนหมดเนี่ย แหมคุณ...อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ธวัชชัย อนามพงศ์ เอามาวันนั้น ผมก็ยังเห็นอยู่ วันนั้นมีใครมาชวนคุย ก็พูดถึงอยู่ว่าถ้าหยิบมาทีละก้อนๆ คือไม่รู้ว่าเป็นจริงเป็นปลอมอย่างไร

คุณธวัชชัย บอกมูลค่า 2 หมื่น 5 พันล้าน แต่ทำไมพกไปสภาได้ ผมก็ไม่ทราบได้ เนี่ยละครับคนที่เขาเอาใจใส่อย่างนี้จริง เอาจะของจริงไปแสดง วันนั้นดูแล้วก็ยังไม่ได้ถามรายละเอียด ธรรมดาก็คุ้นเคยกันมาก่อน ก็อยากจะบอกแต่เพียงว่าของพรรค์อย่างนี้เนี่ย การทำฝีมือ การเผาอยู่ในเทคโนโลยีในของคนไทย การทำเซตติ้ง การจัดต่างๆ มันเป็นความน่าภาคภูมิใจนะครับ แน่นอนครับ มันกินไม่ได้หรอกครับ แต่มันทำเงินให้บ้านเมืองนี้ได้ เอามาบอกแล้วจะให้ใครไปซื้อไหม ไม่ใช่ครับ บอกให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่าธุรกิจอย่างนี้เนี่ยเป็นธุรกิจซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมือง มันทำเงินเข้าบ้านเมือง มันทำงาน มันได้ฝีมือ มันให้เราได้มีจุดยืน

ไทยก็เหมือนกันครับ คนไทยก็ไม่ขายเทคโนโลยีให้ใครเหมือนกัน แน่เหมือนกันนะครับ รู้เลยต้องเผาอุณหภูมิเท่าไหร่ จังหวะไหนถึงจะมา ถึงจะมัน ก็เขาตกลงกันอย่างนี้ เขายอมรับสิ่งที่จัดการทำกันมาอย่างนี้ เพระอย่างนั้นจากเพชรรัสเซียจะเป็นยังไง ซื้อขายเพชรเป็นยังไง พลอยของเราก็ดังครับ ก็เอามาบอกไว้ ถ้าว่างนะครับ วันที่ 27 เขาเปิดงานถึงวันที่ 3 อยู่ที่เมืองทองธานีเนี่ย

นี่ก็เป็นเรื่องของที่จะคุยให้ฟังวันนี้นะ เขาจะถามเลยจะพูดเรื่องอะไร ผมก็กลายเป็นภาระนะต้องหา คือว่าอะไรที่มันกระทบท่าน ครม. ก็จะเอามาช่วยอธิบายแทนเขานะครับ คุยเอง คุยกับเขามา หาผู้เชี่ยวชาญ แล้วก็คุยเล่าให้ฟังเพื่อเกิดความเข้าใจว่าเวลาท่านรัฐมนตรีพูดอะไรออกไปอย่าง สื่อสารมวลชนเอาวิพากษ์วิจารณ์จะทำเอาเข้าใจผิด ผมนี่แหละครับจะทำให้เข้าใจ ถูกไม่ถูกไม่รู้ แต่ผมเข้าใจแล้วผมมาถ่ายทอดท่านผู้ชมที่บ้านได้เข้าใจด้วย บ้านเมืองต้องการสิ่งนี้นะครับ ต้องการความเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะทำอะไร แล้วก็ตรงไปตรงมาอย่างไรนะครับ

นี่เป็นหัวข้อที่หมดตรงนี้นะครับ ต่อไปนี้ผมจะได้คุยในสิ่งที่ผมยกประเด็นไว้วันนี้ จะคุยข้างในคุยเรื่องต้นไม้ ต้นตะกู เรื่องยูคาลิป แล้วถัดไปคุยเรื่องอัญมณี ถัดไปก็จะคุยว่าเรื่องน่าคิดระหว่างผู้ผลิตถึงผู้บริโภค มาอีกแล้วนะครับ เรื่องนี้ต้องเรียนให้ทราบว่าทำไมผมถึงจะพูดเรื่องนี้ และทำไมเมื่อวานผมก็ต้องไปตรวจสอบของกิน เพราะว่าสิ่งที่เคยพบเมื่อ 10 ปี 15 ปีก่อน แล้วก็เอาตรงนั้นมาอ้าง ตัวเลขไม่ทันสมัยครับ

**สาธยายราคาผัก

เรื่องของผมก็คือว่า เมื่อ 15 ปีก่อนผมเคยไปสระบุรี แล้วก็ไปเห็น ตอนถนนสุดบรรทัดตัดใหม่ๆ เขาค้าขายกันกลางถนน ตอนนั้นตลาดยังไม่เกิด พวกที่เขาผลิตออกจากไร่ มันมีคนกลางหรือคนเจ้าของไร่ก็ไม่รู้ เอาของจากไร่ ออกสระบุรีมาขายกลางถนนสุดบรรทัด ได้เห็นเลยครับ ได้เห็นตรงนั้นเลย แล้วก็ได้เห็นว่าของที่มันออกจากไร่มามันแสนถูก แต่พอมันเข้ามาถึงในเมืองมันแสนแพง เมื่อวานต้องออกไปสระบุรี ต้องไปดูว่าจริงๆ เป็นไง มีตลาดแล้วครับ พอถึงสระบุรีตกใจ เราใกล้เกลือกินด่าง ดันขับรถออกไปสระบุรี ที่จริงก็คือว่า สระบุรีที่เราเคยเห็นบัดนี้เปลี่ยนแปลงหมดแล้วครับ

ไอ้ความถูกที่เคยเอามาขายกลางถนนสุดบรรทัด บัดนี้เขามีช่องทาง เขาส่งเข้าตลาดไทหมด ตลาดไทเนี่ย ถ้าใครเคยไปฝรั่งเศสนะ ตลาดค้าส่งฝรั่งเศส คนไทยไปก็ตื่นเต้น ผมไปยังตื่นเต้นเลยครับ ไปดูเขาเนี่ยนะ มันต้องไปตั้งแต่ตี 4 นะครับ ตี 5 ก็ตลาดวายแล้วตลาดขายส่งที่ฝรั่งเศส ของเรานี่เดี๋ยวนี้สำเร็จนะครับ แหมเจ้าของตลาดและตลาดไทเนี่ย ท่านคิดและท่านทำ ใช้เนื้อที่ สำเร็จครับ เป็นศูนย์กลางการค้าส่ง ทั้งหมดที่ผมว่าที่ไหนถูกเขาส่งมาที่ตลาดไทหมดครับ ไม่แน่ว่าที่ตลาดไทถูกกว่าตลาดที่สระบุรี สระบุรีกลายเป็นว่าพวกออกจากไร่มาขายตรงไม่มีแล้วครับ มาซื้อจากตลาดไท เข้ามา 60 กิโล แล้วออกไปทางโน้น แปลว่าที่สระบุรีก็จะขายส่งต่อไปให้รอบๆ สระบุรีออกไปอีกที ศูนย์กลางมาอยู่ตลาดไท

เส้นทางอะไรต่างๆ เมื่อวานกลับจากสระบุรีก็ต้องแวะตลาดไท พ่อค้าแม่ค้าโวยวายกันใหญ่ ถามว่าทำไมมาเดินคนเดียวได้ แม่ค้าส่งฝรั่งเศสคนไทยไปก็ตื่นเต้นผมไปยังตื่นเต้นเลยครับไปดูเขานี่นะครับค้านก ค้าหนู ค้ากระต่าย ต้องไปตั้งแต่ตีสี่เลยครับ ตีห้าก็ตลาดวายแล้ว ตลาดขายส่งที่ฝรั่งเศส ของเรานี่เดี๋ยวนี้สำเร็จครับ ท่านข้าวของตลาดล่วงลับไปนี่นะครับ ทำแล้วใช้เนื้อที่ เดี๋ยวนี่สำเร็จครับ ศูนย์กลางการค้าส่งทั้งหมดที่ผมว่าที่ไหนถูกเขาส่งมาที่ตลาดไทไปหมดครับ ที่ว่าตลาดไทยถูกกว่าที่ตลาดสระบุรี

สระบุรีกลายเป็นว่าพวกออกจากไร่มาขายตรงไม่มีละครับมาซื้อจากตลาดไทเข้ามา 60 กิโล แล้วออกไปทางโน้น แปลว่าที่สระบุรีจะขายส่งต่อไปให้รอบ ๆ สระบุรี ออกไปอีกที ศูนย์กลางมาอยู่ตลาดไท เส้นทางต่าง ๆ เมื่อวานกลับจากสระบุรีต้องแวะตลาดไท พ่อค้า แม่ค้า โวยวายกันใหญ่ ถามทำไมมาเดินคนเดียวได้ ผมบอกว่าอ้าวก็มันไม่ใช่เรื่องราชการอะไรนักหนา แล้วก็วันหยุดเดินถามแม่ค้า ต้องการไปตรวจสอบราคาใหม่ เวลามันห่างกันมากครับ ตัวเลขก็จะไม่ใช้ ผมอยู่ ๆ ผมก็รับไปผมต้องทำนี่ละครับ เนี่ยต้องเอากระดาษไปจด เนี่ยนะต้องจดครับ จะคุยแต่เรื่องพืชผักเท่านั้นวันนี้ที่จะเปรียบเทียบไปจดราคาที่เขาขายส่งว่ามันเท่าไหร่ ๆ อย่างไร ขายส่งมีสองอย่างครับ 5 โล 10 กิโล 5 กิโล 10 กิโล มันแล้วแต่สภาพของของ ถ้าของแพงนักก็ทำเป็น 5 กิโล ของถูกก็ทำเป็น 10 กิโล ของใหญ่มาก ๆ ก็ทำ 5 กิโล ของใหญ่น้อย ๆ ก็ทำ 10 กิโล ไม่ 5 ก็ 10 ทั้งหมดเนี่ยไปเพื่อดูราคาปัจจุบัน คือเมื่อวานเนี่ยนะครับ

เสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมา อตก. พอ อตก. ปรับเราคำนวณได้เลยว่าบางกะปิเท่าไหร่ บางกะปิเท่าไหร่ จะคุยให้ฟังนิดนึงว่าเมื่อ 15 ปีก่อนเนี่ย เมื่อเวลาที่แตงกวาออกจากสระบุรีเนี่ย มันโลละ 5 บาท โลละ 5 บาทครับ แต่ว่าถ้าไปตลาดบางกะปิ ไปตลาดบางกะปินะครับ มันเต็ม ๆ กิโลละ 14 บาท แพงกว่า 9 บาท เท่านั้น แต่ถ้ามาตลาด อตก. เขาลูกเล็ก เขาคัด เขาลูกโตมาขาย เขาขายโลละ 25 เห็นไหมละครับ เราเนี่ยเป็นผู้บริโภคต้องรู้ว่าขับรถเก๋งมาที่ อตก. เนี่ย25 บาท แต่ว่าค่ารถกับขี่รถมอเตอร์ไซค์มาซื้อตลาดบางกะปิ แต่ตลาดบางกะปิมี มาร์เก็ตติ้ง เขามีความคิดอ่านในการขายเนี่ย คือ อตก. ทำไม่ได้ครับ อตก. คนซื้อ ๆ เป็นกิโล ซื้อครึ่งกิโลอย่างน้อยก็ขายอย่างนั้น

แต่ว่าทางตลาดบางกะปิ เริ่มต้นนะครับ ท่านฟังให้ดีนะครับ แตงกวานะ5 บาท นั่นนะครับ เขาขายอยู่บนแผง 14 เหตุการณ์นี้ 10 กว่าปีแล้วครับ ขายบนแผง 14 แล้วก็ เขามีคนที่ไปขายเป็นกอง คือบนแผงต้องเสียค่าแผง ข้างๆ ไม่เสียค่าแผง เขาขาย 12 ข้างล่างเนี่ยขาย 12 ขาย 10 ข้างบนขาย 14 ข้างล่างขาย 10 ข้างบนขาย 14 แตกต่างกัน 4 บาท แต่คนข้างล่างเขาทำกันอย่างไร เขาจะมีกะละมัง มีกระบะพลาสติก มีสำหรับไว้แบ่ง คนจนแถวบางกะปิเนี่ย คือซื้อแตงกวาทีละกิโลไม่ได้ เขาใส่ 3 แพค เอา 1 กิโลมาใส่ 3 อัน โปรดดูให้ดีนะครับ 1 กิโลขายทั้งกิโลข้างล้างเนี่ย 10 บาท แต่ไม่ได่ชั่งกิโลขาย ไม่มีคนซื้อ ต้องซื้อเป็นจาน ซื้อเป็นจาน ซื้อเป็นกระบะ เพราะฉะนั้น 3 จาน ๆ 5 บาท แตงกวาประมาณ 3 ขีด 3 ขีดกว่า ๆ ประมาณเศษ 1 คือเอากิโลมาแบ่ง 3 ท่อน เห็นไหมละครับแม่ค้าขายข้างล่าง 3 ขีดกว่า ๆ ขาย 5 บาท ก็บ้านที่คนจนเขาก็ซื้อ 5 บาท ซื้อได้ 5 บาท เขาไม่ต้องซื้อเป็นกิโล ครึ่งกิโลด้วย แต่ว่าซื้อ 5 บาท แม่ค้าขาย 3 จาน ก็ได้ 15 บาท ข้างบนขายทั้งกิโลได้ 14 ข้างล่างถ้าใครซื้อทั้งกิโลได้ 10 บาท เท่านั้นนะครับ เพราะต้นทุนมา 5 บาท เห็นไหมละครับ มา อตก. เขาคัดเอาลูกเล็กออก จะขายเฉพาะลูกโต ๆ เขาขาย 25

เพราะฉะนั้นเรื่องพรรค์อย่างนี้ต้องแล้วแต่สถานที่เพราะ อตก. เขาแบบว่าเขาคัดแพงกว่าของธรรมดา นี่เล่าเรื่องแต่ก่อนให้ฟัง เล่าให้ฟังอีกนึดหนึงว่า ไปเจอความมหัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงเมื่อวานนี้ เมื่อ 10 กว่าปี 15 ปีก่อนเนี่ย มะเขือพวงเนี่ยทั้งถุงเนี่ยจำเป็นสำหรับคนตำน้ำพริกนะครับ ไม่มีมะเขือพวงไม่สนุกนะครับ มะเขือพวงเนี่ยถุงนึงตะก่อนเนี่ย 60 บาท 10 กิโลครับ มะเขือพวง 10 กิโล 60 บาท เวลานั้น 60 บาทเนี่ย ถ้าเข้ามาข้างในเมืองแล้ว คนซื้อมะเขือพวง จะไม่มีใครซื้อมะเขือพวงกิโล หรือครึ่งกิโล ไม่มีนอกจากพวกที่ทำแกงขาย ทำบ้านเนี่ยจะซื้อเฉพาะตำน้ำพริก หรือซื้อซื้อเฉพาะใส่แกง ถ้าจะซื้อมะเขือพวง 10 บาท เขาก็หยิบมาขยุ้มหนึ่ง 10 บาท เขาซื้อเท่านั้นครับ ขนาดที่มะเขือพวงเนี่ย กิโลละ 6 บาท แม่ค้าจะเอามะเขือพวง 1 กิโลเนี่ย เขามาขายขยุ้มละ 10 บาท 10 บาท 10 บาท จะขายได้ 10 หน ขายได้ 100 บาท ขายปลีกเนี่ย ต้นทุน 6 บาท เพราะทั้งถุง 60 บาท มี 10 กิโล

เห็นไหมละครับเรื่องนั้น ที่ผมใช้ข้อมูลที่เล่าให้ฟังเนี่ย เป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับผมเองด้วย 10 กว่าปีก่อนเจออย่างนี้ที่สระบุรี เวลานั้นมะเขือพวงซื้อ 10 บาท แล้วครับ เดี๋ยวนี้มะเขาพวงในกรุงเทพฯ เนี่ยต้องซื้อ 20 บาท 10 บาทแม่ค้ายังน่างอนเลย ถ้าเกิดตลาดยังขายอยู่ 10 บาท เขาก็หยิบแต่น้อยหน่อย สำหรับตำน้ำพริก 10 บาท เมื่อวานนี้ไปนะครับมะเขือพวงที่ตลาดไท เพิ่งเคย 60 บาท เดี๋ยวนี้ราคา 280 แปลว่ามะเขือพวงกิโลละ 28 บาท เห็นไหมละครับแต่ก่อนกิโลละ 6 บาทนะครับ โลละ 28 ผมฟังแล้วผมไม่รู้สึกอะไรครับดีใจแทนคนปลูก ดีใจแทนเลยว่าบัดนี้ ถุงนึง 280 บาท โลละ 28 รองมาถึงกรุงเทพฯ เขาขายโลเท่าไหร่ทราบไหมครับ เขาไม่ขายเป็นกิโลเราจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีประหนึ่งขยุ้ม 20 บาท 1 ขยุ้ม 20 บาท ให้ 25 หน 25 หน ได้กิโล 25 หนได้กิโลก็แปลว่า 100 บาท ต้นทุนเท่าไหร่ 28 เห็นไหมละครับ เราไม่ได้กินมะเขือพวงกันทั้งวัน

แต่ยกตัวอย่าง เรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคแล้วมันไปอย่างไรมาอย่างไรมันมีเรื่องที่ต้องคิดว่า ตอนนี้ผมจะดูผมจะใช้กระดาษสักนิดนึงเพราะว่าเมือทำการบ้านมาแล้วก็ลองดูซิว่าที่เขาขายผักกันเนี่ยนะ แตงร้าน แตงกวา แตงกวาเดี๋ยวนี้เมื่อก่อน 5 บาท ผมคุยไว้เนี่ยครับ วันนี้ 13 บาท เปลี่ยนแปลงพอสมควรครับ แปลว่าถุงนึงเนี่ยนะครับ เคยซื้อ 50 บาท 10 กิโล 50 แตงกวานะครับ เดี๋ยวนี้ 130 แปรว่ากิโลละ 13 มาดูแตงกวาซิครับ เข้ามาในเมืองราคาเท่าไหร่ แตงกวา 20 กว่าบาท คนทำประมาณ 30 บาท แตงกวากิโลละ 13 บาทต้นทุน เวลานี้ขายแตงกวา 35 บาท บางครั้งขาย 40 บาท เห็นไหมละครับต้นทุน 13 มาถึงตลาด 40 40 ที่ อตก. นะครับ ถ้าเกิดไปบางกะปิจะประมาณ 25 25 1 กิโลเนี่ย เขาก็ใส่ 3 จาน เดี๋ยวนี้ไม่จานละ 5 แล้วละครับ แตงกวาเป็นจานละ 10 เห็นไหมละครับขายทั้งกิโลขาย 20 แต่แบ่งเป็นกิโลใส่ 3 อัน ใส่ 3 จาน เขาก็ขาย 30 จานละ 10 จานละ 10 จานละ 10 ไปเช้า ๆ ก็จานละ 10 10 ไปตอนเย็นละครับ เย็น ๆ เขาก็จะร้องขาย 3 จาน 25 3 จาน 25 เขาขายราคาเหมือนยกกิโล

นี่เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง ซึ่งอธิบายให้ฟังอย่างนี้ผมจะยกตัวอย่างนิดนึงนะครับ ฟัก ฟักเขียวเนี่ยนะครับ 1 ถุง เนี่ย 10 กิโล ราคา 50 บาท แปลว่าลูกฟักเขียวขนาดใช้เนี่ย กิโลละ 5 บาท มาดูที่ตลาดขาย ตลาดขายเท่าไหร่ 20 บาท ต้นทุน 5 บาท แต่มาถึงตลาดขาย 20 ทุกอย่างเป็นมันเป็นลักษณะอย่างนี้หมด ถูกต้องนะครับมันแน่นอน อย่างกะหล่ำอย่างเนี่ย เดี๋ยวเนี่ยหน้านี้กะหล่ำแพงนะครับ 15 มาถึงที่ตลาด 28 เห็นไหมละครับเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมันจะเป็นแบบนี้หมด ปัญหาก็คือว่าเมื่อมาเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วคิดว่าอย่างไร ผมต้องคิดให้ฟังว่า เมื่อเวลาที่เรา เดี่ยวดูซิว่า ดูซิดูฟักทองเนี่ย ฟักทองนะครับ เมื่อสมัยก่อนเนี่ย กิโลละ 6 บาท เดี๋ยวนี้ฟักทองขึ้นมากิโลละเท่าไหร่ อันนี้ต้องเป็นของจริงไม่ใช่จำนะครับ ฟักทองดูซิ กิโลละ 7 บาท ลูกโต ๆ ที่เห็นเมื่อตะกี้เนี่ย กิโลละ 7 บาท 8 บาทอย่างเก่ง มาถึงตลาดขายเท่าไหร่ครับ มาถึงตลาดขาย 25 บาท โลละ 25 ฟักทองลูกใหญ่ เนี่ยนะครับ ลูกใหญ่หนัก 7 กิโลนะครับ 175 บาท ต้นทุนกิโลละ 7 บาท ดูนะกิโลละ 7 บาท 7 7 49 ทั้งลูกซื้อจากตลาดไทลูกละ 49 บาท แต่มาถึงทางตลาดทั้งนี้แล้วกิโลละ 25 เป็น 175

การขนส่งสินค้าไปมาที่เรียกว่า โลจิสติกส์ ใช้ภาษาฝรั่งกันเนี่ย มะนาวเริ่มแพงขึ้นอีกแล้วนะครับ มะนาวเริ่มแพงเพราะเหตุว่ามันเริ่มร้อนและแล้งเข้าก็ยังพอมีขาย มะนาวเนี่ยถ้าไปซื้อที่โน่นนะ บาท 25 ไปซื้อที่ขายส่ง บาท 25 ครับ แต่มาถึงกรุงเทพฯครับ 3 บาท 3 ลูก 10 แต่อย่างนี้ 3 ใบ 10 เริ่มแพงแล้วละครับ ต่อไปเวลามะนาวแพงเนี่ย แพงจริง ๆ ครับ ลูกละ 8 บาท เวลาที่มันน้อยเนี่ยเกี่ยวกับอุปสงค์ อุปทาน ที่เรียกว่าซัปพลาย ดีมานด์

**อ้างหลักดีมานด์-ซัปพลายเนื้อหมูมีน้อยต้องแพง

เพราะฉะนั้นก็จะเล่าให้ฟังว่าเรื่องเวลานี้ที่ คุณมิ่งขวัญ ท่านกำลังเจรจาความเนี่ย เวลานี้พอพูดถึงเรื่องหมูเนี่ย คำอธิบายเรื่องหมูผมฟังเข้าหูแต่ว่าคนบริโภคจะฟังหรือไม่ เวลานี้หมูกิโลละ 120 แต่ก่อนกิโลละ 100 ถามว่าทำไม เราต้องคิดถึงเรื่องนี้ว่าทำไมเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมแพงหมูไม่เปลี่ยนเราต้องรู้ทันทีว่ามันต้องมีเฉพาะเลือด เขาบอกว่าให้ที่เกิดหมูแพง มันเรื่อง ซัปพลาย ดีมานด์ มันเรื่องเกี่ยวกับเกิดเหตุในการเลี้ยงหมูต้องการเอาลูกหมูไปขายมันมีการขาดแคลน มันน้อยมันก็ขายแพงตั้งราคาซึ่งราคา ที่เรียกว่าซาก คือหมูฆ่าแล้วตัดเลย เขาขายเฉลี่ยชั่งกิโลมาขายเลยเนี่ย มันแพงกว่าเดิมเพียง 3 บาท แต่ทำไมเมื่อมาขายเป็นกิโลแล้ว ถึงเนื้อแดงกิโลละ 120 เวลาพูดถึงอะไรต่าง ๆ นั้น

ท่านโปรดฟังให้ดีนะครับว่าเราต้องมีความเป็นธรรมทั้งผู้ผลิต ทั้งคนกลาง และผู้บริโภค เราซื้อหมูมาฆ่ากินด้วยตนเองได้ไหม ไม่ได้ครับ ไก่มาฆ่ากิน ยังไม่ฆ่าเลยครับ ตัวเล็กกว่าหมูตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นต้องมีคนฆ่า ต้องมีคนเขาเลี้ยง มีคนเขาขนมาฆ่า ฆ่าเสร็จแล้วต้องไปที่ตลาด ก็มีเขียง จากเขียงถึงจะถึงเราเป็นผู้บริโภค เพราะฉะนั้นตรงเนี่ยเมื่อมันเห็นเหตุเราต้องดูว่าเราควรจะต้องแก้ได้ เราควรจะต้องแก้เหตุได้เพราะ ยังไง

เริ่มต้นอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเป็นแบบนี้ มันมีอุบัติเหตุการเลี้ยงอะไรต่าง ๆ จังหวะจะโคนอะไรต่าง ๆ ต่อไปนี้ว่ามันจะแพง เพราะมันจะแพงแล้ว แพงตรงไหนครับ มันแพงที่หมูเนื้อแดง กิโลละ 120 หมูโลละ 120 ถามว่าไปกินส่วนอื่นของหมู ส่วนอื่นยังถูกว่า สามชั้นก็ต้องลงไปถูกกว่า กระดูกก็ยังถูกกว่า ขาดตังเอี่ยโล้ง ก็ยังถูกว่าทั้งนั้น แต่เราเอาราคาหมูเนื้อแดง เอาราคาหมูเนื้อแดงมาตั้งเป็นสาธารณะ แล้วบอกว่าโอ้โฮ 120 จะตายอยู่แล้ว แต่เคยขายอยู่ 100 นึงครับ บัดนี้ขึ้นมา 120 แปรว่าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ สินค้าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ คนขายหมูต้องอธิบายให้เข้าหูคนบริโภค ผมเนี่ยเข้าหูมาแล้ว

ฟังแล้วถึงเอามาคุยได้ว่า มันเกิดอุบัติเหตุในการเลี้ยงทั้งขบวนการ การเลี้ยงต่อไปเข้าที่เข้าทางแล้ว มันก็จะกลับมาสู่ราคาเดิม ความแพงมันแพงอยู่แล้ว 100 นึง แพงอยู่แล้ว ต้องแปรว่าหมูเนื้อแดง เนื้ออื่นก็ไม่ถูกไม่แพงอย่างนั้น กระดูกหมูราคากิโลละ 22 บาท ไปซื้อสามชั้นก็ราคาถูกกว่า ไปซื้อส่วนต่าง ๆ ของหมูนั้น มันไม่ได้ 120 หมด พูดให้เข้าใจไว้เท่านั่นเองนะครับ เนี่ยมาออกรับแทนคนขายหมูด้วย การเจรจาความเป็นอย่างไรถ้าเริ่มต้นบอกว่ามันมีน้อยขอดูหน่อยว่ามีน้อยมันมีอย่างไร เวลาเห็ดโคนออกใหม่ ๆ กิโลละ 500 บาท เห็ดโคนออกใหม่ ๆ เนี่ยนะครับ มันออกมาได้สักประมาณ 2 เดือนอย่างมากไม่เกิน เวลาที่ออกมานานแล้วลงมาโลละ 300 เห็ดแพงไหมครับ เห็ดโคนกิโลละ 500 พอออกมาเยอะ ๆ กิโลละ 300 สัก 2-3 เดือนก็หดหายไป แต่เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดภูฐาน ออกทั้งปี เพราะฉะนั้นเห็ดโคนให้คนมีเงินเขากิน เขาซื้อกันทั้งนั้น อร่อยแน่นอนครับ แต่ใครจะกินเห็ดฟาง มีขายทั้งปี

เห็นไหมละครับ เห็ดฟางอยู่ที่ตลาดบางกะปิ ขายกิโลละ 60 65 อย่างแพงกว่าไหนแพงกว่า 70 บาท แต่เห็ดที่เขา เขาเลือกเอาแต่ดอกโตมาใส่ขาย 100 ที่ อตก. แปลว่าเราต้องรู้ด้วยนะครับ เอาราคา อตก. เป็นฐานก็ไม่ได้ ต้องขับรถเก๋งไปซื้อ เขาเสียค่าที่แพง เขาขายกิโลละ 100 บาท เห็ดฟาง แต่ไปบางกะปิ 60 70 บาท อย่างนี้แปรว่า จะกินเห็ดจะใส่แต่เห็ดฟางใช้ได้ เห็ดนางรมใช้ได้ เห็ดนางฟ้าใช้ได้ เห็ดนางฟ้าภูฐานมีเห็ดให้เลือกมากมายก่ายกอง เพราะว่าชมรมเห็ดมาให้ชมรมเกษตรศาสตร์ทำเรื่องนี้สำเร็จ และของเราแม้แต่เห็ดโคลนหลวงก็ทำสำเร็จ แต่ว่าไปดูแล้วบางทีก็มีบางทีก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้เนี่ยเราก็เลยต้องว่าเอาเห็ดมาเป็นมาตรฐานถูกต้องครับ บริโภคได้ มังสวิรัต ก็กินได้เห็ด แต่ถ้าว่าต้องรู้ว่าเราจะกินเห็ดโคน จะกินเห็ดโคน นอกฤดูมีไหม มี อยู่ที่ไหน ในขวด อยู่แถวไหน หลังตลาด อตก. ริมตรงข้ามน้ำ ตรงข้ามต้นโพธิ์ที่เขาเล่นหมากรุกกันเนี่ยมีร้านค้าเข้าไปเนี่ย มีทุกวัน ขวดละ 600 นับดูซิครับ อย่างเก่ง ๆ ประมาณสัก 30 ดอก ยาว ๆ ดอกยาวตั้งก่อนคืบใส่ขวด 600 บาท ก็ให้คนมีเงินเขากินไป วันๆไหน ถูกลอตเตอรี่ก็ไปซื้อกินก็แล้วกัน ก็เห็ดฟางเห็ดโคลน เห็ดฟางมันถูกว่า กินเห็ดฟาง ผมก็กินเห็ดฟาง นาน ๆ มีคนฝากมาให้เห็ดโคน คนกินไม่ต้องซื้อ

**แจงต้มฟัก “โครงไก่”ไม่ใช่ “ซี่โครงไก่”

อย่างนี้คือเล่าให้ฟังว่า คนกินไม่ต้องซื้อ อย่างนี้จะเล่าให้ฟังว่าทำไมระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เมื่อผู้ผลิตเขามีปัญหาเรื่องหมู บอกว่าไม่กินกระดูกหมู เดี๋ยวโดนว่าอีก กินโครงไก่ก็ว่ากันไม่จบ เป็นเรื่องต้องย้อนหลัง เขาเข้าใจว่าเอาโครงไก่มาต้มแล้วมาดูดกิน ทั้งๆ ที่คำว่าโครงไก่ต้องเป็นน้ำซุบ ไม่ต้องต้มเนื้อ หรือต้มจนเปื่อย เอาฟักใส่ เอาอะไรใส่

อธิบายให้ฟังว่าไปซื้อ 20-30 บาท ต้มได้ทั้งหม้อกินได้ทั้งบ้าน ไม่เข้าใจ ยังต่อว่าจนถึงทุกวันนี้ ว่าฟักต้มซี่โครงไก่ มันเป็นอย่างไร เมืองจีนกินฟักต้มกระดูกไก่ กระดูกหมู เนื้อส่งขายหมดประเทศไทยช่วยเมืองจีนไก่ บอยเลอร์ นี่ บริษัท ซีพี เขาไปช่วยให้คนจีนเลี้ยงไก่แบบที่ไทยเลี้ยง แล้วส่งออก แล้วเอากระดูกไก่ กระดูกหมู ต้มให้คนกิน ผมไปมาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว แต่ว่านั้นคือความถูก

และกระดูกหมู กระดูกไก่ รสมันดี เอาหมูสามชั้นไปใส่ ไปต้ม น้ำยังสู้รสกระดูกไก่ต้มไม่ได้ กระดูกหมูต้มไม่ได้ เอาฟักใส่ก็อร่อย เอาหน่อไม้ใส่ก็อร่อย เอาหัว ไชเท้าใส่ ก็อร่อย อธิบายความจนถึงตอนนี้ เรื่องซี่โครงไก่ต้มเป็นความ เชย ของคนเรียก ก็เรียกว่าโครงไก่ทั้งโครงตั้งแต่คอ ตัว เพราะฉะนั้น 3 โครงกิโล กิโลละ 10 บาท ซื้อฟัก 10 บาท เป็น 20 บาท หมักผักชี กระเทียมพริกไทย ใส่น้ำปลา ต้มได้ทั้งหม้อ กินทั้งบ้าน 30 บาท กินทั้งบ้าน ซื้อเขามาตอนนั้นถุงละ 15 บาท ลูกละ 20 บาท กิน 2 คนผัวเมียก็หมดแล้ว

พูดอย่างนี้บอกว่าเรื่องกับข้าวพูด คล่องแคล่ว ต้องพูดอย่างนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ราคาระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค รัฐบาลผมจะตามไปดูเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม คนปลูกก็ควรจะได้ราคาดี คนกลางควรจะน้อยหน่อย ต้องดูที่การขนส่งว่าเป็นอย่างไร มาพูดให้ฟังนี่เป็นข่าวถูกต้อง จะเป็นข่าวก็ทำได้แต่ต้องเข้าใจว่ามาพูดให้ฟังเหมือนกับเศษสตางค์ ให้เก็บเหรียญบาทผมก็เข้าใจของผมว่าเหรียญบาทคือเศษสตางค์ 5 บาทคือเศษสตางค์ 10 บาทคือเศษสตางค์ คนโรงกษาปณ์ ต้องสลึง ต้อง 50 ผมก็หลุดไปบอกว่า เรื่อง 50 สตางค์ สลึงให้บอกว่าเขาใช้กันในซุปเปอร์มาร์เก็ต แปลว่า ราคาสินค้าที่วาง 3.25 บาท 3.50 บาท แปลว่า ลง 25 สตางค์ 50 สตางค์ 75 สตางค์ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเขาเสนอขายได้เพราะเขาใช้เครื่องกด

เรื่องอย่างนี้ จะไปทำเหรียญ 50 เขามีใช้อยู่พอแล้ว แต่เหรียญบาทอย่าเลิก เพราะฉะนั้น ผมบอกว่าข้าวแกง 20 ขึ้น 5% คือ 21 แม่ค้าขาย 100 จาน แม่ค้าได้เพิ่ม 100 บาท ซื้อของแพงขึ้น 50 บาท เอาไว้อีก 50 บาทเผื่อซื้อของอื่นแพง นี่คือความเป็นธรรม ถ้าไม่พอตกลงกันไม่ได้ จาก 2 บาท จาก 20 เป็น 22 แปลว่า แม่ค้าต้องซื้อของแพงขึ้น ขายได้กำไรวันละ 200 ซื้อของแพงขึ้น 100 เอาไว้ซื้ออย่างอื่นแพงขึ้นอีก 100 นี้คือคำอธิบายง่ายๆ เหรียญบาท เหรียญ 5 หรือว่า 10 สมมุติ ว่ามันขึ้นไป 22 เขาให้มา 30 ก็ต้องทอน 8 ให้ 25 ทอน 3 ต้องการอันนี้ และยังทำได้อยู่ผมบอกว่ายังไม่สายเกินไปถ้าจะเก็บเหรียญบาทเอาไว้

นี่คือคำอธิบาย แล้วเรื่องน่าคิดระหว่างผู้ผลิตถึงผู้บริโภค เส้นทางการเดินทาง ซึ่งมันแพงจนเกินเหตุรัฐบาลผมจะช่วยลงไปดูว่าเป็นอย่างไรผมไม่ต้องลงมือเอง 4 หน่วยงานที่เขาไม่ขึ้นสินค้าก็ขอบคุณเพราะเขาช่วยเหลือเขาไม่ขึ้นราคาสินค้า แต่คนอื่นต้องขึ้นก็ต้องปรับปรุงให้เขา พวกที่อยากดูจริงๆ ขายน้ำมันพืชกัน 29 บาท บอกว่าน้ำมันพืชจะเอาไปทำน้ำมันดีเซล ตอนนี้ขึ้นไปอยู่ที่ 49 บาท 29 ขึ้นไป 49 ขึ้นไปได้อย่างไรนี่แหละที่ต้องมาตอบคำถามจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆ เรื่องนี้ต้องคุยต่อแต่ว่าคราวที่แล้วสัญญาว่าจะตอบคำถาม ก็ต้องตอบคำถามก่อนคำถามมา

จดหมาย : อยากทราบว่า ยูคาลิปตัส พันธุ์อะไรที่ไม่มีผลต่อดินทำให้ดินเสีย

นายกฯ : กระทรวงเกษตร คณะวนศาสตร์ จะเป็นคนตอบแต่ว่าผมรับประกันได้ว่าผมมีหน้าที่เอาข้อมูลไปออกให้อ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่าพันธุ์อะไร จะแนะนำให้ว่าปลูกแล้วไม่เสียของนาก็ทำนาได้ต้นไม้ก็อยู่บนคันดิน

จดหมาย : ประเด็นเรื่อง ยูคาลิปตัส ปลูกมา 10 กว่าปีตัดไม้ขายได้ทุกปีไร่ละ 5,000 บาท แนะนำให้ปลูกกันตามคันนา ไม่รณรงค์ให้ปลูก

นายกฯ : แนะนำให้ปลูกบนคันนา ไม่รณรงค์ให้ปลูกเพราะปลูกไม่ได้ปลูกบนดินดีแล้ว เพราะว่า 300 ต้นได้ 2 ตัน ปลูกบนคันนา 100 ต้น ได้ 5 ตัน ต้องปลูกบนคันนา

จดหมาย : ทำประชาพิจารณ์เรื่องยาเสพติดน่าจะได้ผลดีกว่า

นายกฯ
: ไม่ต้องประชาพิจารณ์ พูดให้ท่านฟังให้เข้าใจตรงนี้เท่านั้นเอง นโยบายฆ่าตัดตอน ใครใช้คำนี้แสดงว่า แย่ นโยบายฆ่าตัดตอน นโยบายปราบปรามยาเสพติดเด็ดขาด คราวนี้ตำรวจไปฆ่าเขาตามตำรวจก็ต้องขึ้นศาล แต่ผู้ร้ายกลัวจะถึงข้างบนเลยฆ่ากันเอง ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไร

จดหมาย : ค่าจอดรถยนต์ และ มอเตอร์ไซค์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ราคาแพงมากประชาชนเดือดร้อน

นายกฯ
: ผมอยากเรียนสนามบินสุวรรณภูมิเขาเรียกว่าเป็นสถานที่ที่ทันสมัย เพราะฉะนั้น ราคาเขาตั้งเอาไว้เขามีราคาไทย ราคาเทศ ไม่ได้ บะหมี่ราคาชามละ 170 ถ้าคิดเป็นเงินเหรียญเท่าไหร่เอาเงินเหรียญเข้าไปหาร ประมาณไม่ถึง 6 เหรียญ ประมาณ 5 เหรียญครึ่ง ก็ราคาสากลกินบะหมี่ที่ Airport ราคา 5 เหรียญครึ่งราคาปกติ บอกว่าจะตาย เพราะว่า กินข้างนอกได้ 6 ชาม ต้องขอความกรุณาครับถ้าแพงอย่างไงหิวก็ต้องกิน แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่กิน ผมนานๆ ก็กินที 170 ถึงได้รู้ราคามันแพงทุกอย่างเพราะเขาทำสำหรับคนที่เดินทางในกระเป๋าเขาไม่ใช่เงินไทยต้องขอความกรุณาจริงๆ เพราะว่านี่ไม่ได้ออกรับแทน ค่าจอดรถจะตรวจสอบหน่อยเพราะว่าเขาจะคิดเอาทุนคืนค่าสนามบินที่เขาไม่ต้องการให้คนจอดมาก แพงเพราะว่าไม่ต้องการให้ไปจอดมาก แพงเพราะว่าไปหลายๆ คนรวมกันไป จะไปส่งเพื่อนคนหนึ่งเพื่อนไปส่ง 5 คน รถจอด 5-6 คัน อย่างนี่ควรจะต้องคิดว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ ถ้าไปคันเดียวก็จ่ายคันเดียว ผมคิดแทนให้แต่จะรับไปดูให้ว่ามันแพงอย่างไร ถ้าผมมีความรู้สึกอย่างไรก็จะมาเล่าให้ฟังด้วย

จดหมาย : ไม่สนับสนุนตั้งเขตปกครองเขตจังหวัดภาคใต้

นายกฯ
: เรื่องนี้พูดกันในห้องเล็กๆ ผมไปคุยมาแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ปรากฏในนโยบายอะไรทั้งหมดอย่าห่วงๆ เป็นเรื่องบังเอิญ

จดหมาย : ดำเนินการเน้นเรื่องการศึกษา เรื่องการเรียน การสอน นักเรียนมุสลิม คือว่า ทำอย่างไรให้นักเรียนมุสลิมได้เรียนเหมือนนักเรียนไทย

นายกฯ
: ถูกต้อง เพราะว่าอันนี้เป็นความคิดอ่านของเราเลย เพราะว่าเขาพูดว่าเรียนไทยครึ่ง เรียนของเขาครึ่ง เรื่องการเรียนกำลังเจรจาความกัน เพราะมีปัญหาเรื่องว่า เขาไปตั้งกฎเกณฑ์ไว้ให้นักเรียนต้องอุดหนุนหัวละ 10,000 บาท โรงเรียนพุทธ 5,000 กว่าบาท โรงเรียนนั้น 10,000 กว่าบาท และโรงเรียนพุทธปิดหมด ต้องไปเข้าโรงเรียนเอกชนหมด เรื่องนี้ได้มาจากข้างในไม่ปิดบัง เป็นเรื่องจะต้องแก้ไข เราต้องอุดหนุนเขา 10,000 กว่าบาทต่อหัว แต่ถ้าโรงเรียนของเราเอง 5,000 กว่าบาท เรื่องนี้กระทรวงศึกษาต้องดูแลแน่นอน ต้องมีความเป็นธรรม แล้วก็ตกลงว่าจะต้องได้เรียนกันคนละครึ่งคือเรียนทางยาวีด้วยและศาสนาด้วย แต่ต้องเรียนวิชาการด้วยเพราะว่าเราอยากให้เขามีการศึกษา

จดหมาย : เงินกองทุนหมู่บ้านรูปแบบการสนับสนุนที่รับเงินแบบเก่าหรือว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร

นายกฯ
: ถามทันทีตอบไม่ได้แต่อาทิตย์หน้าจะมาตอบให้ว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร

จดหมาย : นโยบายเด็กเรียนมัธยมต้น ถึง ม.ปลาย เริ่มเมื่อไหร่

นายกฯ
: เขาต้องเริ่มทันที เพราะว่าวันที่ 17 พฤษภา โรงเรียนเปิดเทอมใหม่ วันนี้พึ่งเดือนกุมภา มีเวลา 3 เดือนเขาเตรียมแผนให้เวลาเขานิด

จดหมาย : นักศึกษากู้ยืมได้เมื่อไหร่

นายกฯ
: ต้องพูดได้ทันทีเลยว่าเมื่อถึงเวลาจะเริ่มเรียนต้องกู้ยืมได้ไม่นานก่อนจะถึง 99 วัน ทำได้ก่อนคนทำก็รู้ว่าจะต้องทำโอกาสอย่างไร คนประมาณการก็ขอประมาณ 99 วัน ไม่มีปัญหาเราต้องทำ

จดหมาย : ทราบว่ารถไฟไปเชียงราย

นายกฯ
: เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าคิด เชียงรายสมัยก่อน อยู่เชียงใหม่จะไปเชียงรายต้องขับรถยาวลงมาที่ลำปาง 90 กว่ากิโลจากลำปาง และก็จากลำปางขึ้นไปเชียงรายอีก ทั้งหมดเชียงใหม่ไปเชียงราย 375 กิโล ต่อไปก็ตัดถนนใหม่ 161 กิโล จากเชียงใหม่ไปเชียงราย เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วความรู้สึกที่อยากจะไปรถไฟก็ลดน้อยลง แต่ความรู้สึกเรื่องนี้ขอคุยให้ฟังนิดหนึ่ง เชียงรายเป็นที่ที่เราคิดว่าถ้ารถไฟจะขึ้นไปข้างบน หรือรถไฟจะข้ามทางหนองคาย แล้วก็เข้าไปทางเวียงจันทร์เสียก่อน ถ้าติดภูเขาไม่มากหนทางลำบากถ้าเลือกขึ้นทางเชียงรายได้ก็จะเลือกขึ้นทางเชียงราย รถไฟที่ว่าเป็นรางมาตรฐาน เพราะเราจะ ขึ้นไปเชื่อมกับจีนข้างบน เรื่องรถไฟจะคุยให้ฟังต่างหากอีกวัน เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน

จดหมาย : รถสายสีแดงต่อไปถึงธรรมศาสตร์รังสิตหรือเปล่า

นายกฯ
: เรื่องสายสีไหนยังไม่ออกในรายละเอียด แต่ว่าวันพรุ่งนี้ข้าราชการจะรับรู้นโยบาย และวันถัดไปเรื่องของรถขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ บอกได้แต่เพียงว่าต้องเพิ่ม และออกเบียดไปที่ชานเมือง 9 เส้นทาง และประมาณ 300 กิโล เวลานี้มี 43 ใต้ดินมีอยู่ 20 ข้างบนมีอยู่ 23 จะมีอีกประมาณสามร้อยกิโล และจะลงมือทำสายไหนตรงไหนเริ่มก่อนจะเตรียมการไว้แล้วก็จะไม่ทำให้ชักช้าได้เริ่มลงมือได้ตอกเข็มแน่นอนดำเนินการแน่นอน

จดหมาย : บัณฑิตปักษ์ใต้ จำนวนเป็นหมื่นๆ คน เรียนกันไปแล้วจบแล้วก็ไม่มีงานทำและถึงเวลาจะต้องคืนเงินแล้ว

นายกฯ
: เรื่องนี้ต้องมีนโยบายแน่ถ้ายังคืนไม่ได้ก็ยังเอาไม่ได้ไม่มีใครบังคับ ถ้าบังคับให้เขาทำก็ต้องแก้ข้อบังคับ เขามีเวลาแต่ถ้าว่าผมได้คุยกับทางทหารแล้ว และนี้ก็ไม่ใช่ความลับ อุตสาหกรรมเกิดขึ้นใด้ ประมูลสร้างทาง สร้างทาง 4 เลน เข้าไปในยะลา ตกลงเสร็จเรียบร้อยไม่กล้าเข้าไปก่อสร้าง ผมก็คิดตรงกับท่าน ผบ.ทบ.บอกว่าแล้วทำไมไม่เอาทหารสร้าง ราบ 11 ไป บอกกำลังดำเนินการอยู่ งบประมาณยังอยู่เหมือนเดิม ทหารไปทำจ่ายเงินให้ทหาร เพราะราบ 11 เคยมาช่วยงานในกรุงเทพ เยอะ คราวนี้เขาจะยกไปทำยะลาก็จะได้ถนน 4 เลน ทำโดยทหารช่าง วิธีการ ตั้งโรงงานๆ ไม่มีใครกล้าไปทำ ตกลงกันแล้วว่าอุตสาหกรรมทหารยังจะเกิดขึ้น

ผมพูดถึง อสร. บอก อสร.ขายให้เอกชนไปทหารตรงนี้ทำแต่ อสร.ดัง โรงงานแบบ อสร.ทหารจะไปทำใหม่อุตสาหกรรมทหารจะไปทำใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องลงมือเลยทหารทำ เอกชนลงทุน 49 ทหารโดยรัฐบาลลงทุน 51 ลงมือเลย สร้างไป เฝ้าไป เรื่องอย่างนี้คือเรื่องที่เล่าให้ฟังได้ และก็ขอเรียนว่าตอบคำถามก็ยังไม่มันเท่าไหร่แค่นี้เอง แต่ว่าเรื่องวันที่ 22 วันนี้วันที่ 24 ได้มา ผสมผสาน

เรื่องเล่าฟังแล้ว มีความหวังมีวิธีการและเป็นที่เข้าใจกันว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรรายการอย่างนี้เป็นรายการที่ต้องขอบคุณช่อง 11 เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีมาพูดจาประสาสมัครและก็ได้สื่อความกัน ได้ตอบคำถาม ว่างๆ ถ้าเผื่อเนื้อหาวันไหนไม่ดีจะตอบคำถามครึ่งชั่วโมงเลยวันนี้เวลาหมด อาทิตย์หน้ามาพบกันใหม่ผมก็จะบอกให้ฟังไว้ล่วงหน้าว่าจะคุยเรื่องอะไร เนื้อหาก็จะเป็นแบบนี้ จริงๆ ถ้าเนื้อหาน้อยก็จะได้คุยเรื่องที่ท่านส่งเข้ามาและผมตอบคำถาม แต่ว่าจะตอบเท่าที่รู้และตอบได้จริงๆ เหมือนอย่างที่พูดว่าสร้างทางจะใช้ 111 ทหารราบราชบุรี เรื่องอุตสาหกรรมใครกล้าไม่กล้า อุตสาหกรรมทหารจะไปลงทุน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรลองมาดู อสร.เขาทำให้เจริญก้าวหน้า เรื่องนี้จะทำแบบ อสร.อุตสาหกรรมอาหารกระป๋องอะไรต่างๆ ทหารลงมือทหารลงทุน 51 เอกชนลงทุน 49 จะลงมือทันที วันนี้ต้องลาก่อนนะครับ วันอาทิตย์หน้าพบกันใหม่ สวัสดีครับ






กำลังโหลดความคิดเห็น