“อดิศร” โผล่จวก “หมัก” เตือนอย่าปากพล่อยบิดเบือน ระวังมิตรจะกลายเป็นศัตรู หนุนชำระประวัติศาสตร์ใหม่ ชี้ใครสร้างกรรมใดก็ต้องชดใช้ ยกตัวอย่างกรือเซะเปรียบเทียบ ระบุ รัฐมนตรีก็ไม่ได้สั่งยิงโดยตรง
วันนี้ (19 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายอดิศร เพียงเกษ หนึ่งใน 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตแกนนำนักศึกษาที่เข้าร่วมเหตุการณ์เดือนตุลา กล่าวว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้น ฝ่ายเผด็จการเข้าปราบปรามประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ และโหดร้ายที่สุดของประเทศไทย และเมื่อวันนี้มีการพูดถึงกันมากก็ควรที่จะใช้โอกาสนี้ชำระประวัติศาสตร์ ซึ่งสมัยตนเป็นรมช.ศึกษาฯ ได้พยายามชำระประวัติศาสตร์ 3 เรื่อง แต่สำเร็จไปเรื่องเดียว คือ กรณีเสรีไทย ที่ทุกฝ่ายมีความเห็นทางประวัติศาสตร์ตรงกัน ส่วนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 นั้น ไม่สามารถชำระประวัติศาสตร์ได้ เพราะมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับข้อเท็จจริง
นายอดิศร กล่าวต่อว่า สำหรับตนนั้น เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มากกว่า 6 ตุลา 2519 แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการปกครองแบบเผด็จการหลัง 6 ตุลา ยุคนั้นต้องเข้าป่ากับครอบครัว จนน้องชาย คือ “สหายหมอก” เสียชีวิตในป่า และวันนี้ยังหากระดูกไม่เจอ
“เหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่นๆ หรือพูดแล้วมีความสุข เพราะเป็นเหตุการณ์แห่งความสูญเสีย อยากให้ทุกฝ่ายสงบสติอารมรณ์ สงบปากสงบคำเพื่อร่วมกันสร้างความเป็นจริง โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว และนักศึกษาที่ต้องเสียชีวิตจำนวนมาก” นายอดิศร กล่าว
นายอดิศร กล่าวอีกว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารในเหตุการณ์ 6 ตุลา ต้องชดใช้กรรม ชดใช้หนี้ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่การฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะประวัติศาสตร์ที่เป็นบาดแผลสังคมควรได้รับการสะสาง เพราะถ้าคิดว่าเป็นการฟื้นฝอยนั้นเราก็จะลืมเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 หรือลืมเรื่องกบฏบวรเดช อย่างประเทศเวียดนาม เขาก็ปิดประวัติศาสตร์ตัวเองไปแล้วว่าชนะอเมริกา แต่เรายังมีประวัติศาสตร์ที่คาใจกันอยู่ ทำให้เวียดนามแซงเราไปแล้ว และที่พูดเรื่องนี้ก็ไม่ใช่การโค่นล้มรัฐบาล
“ที่ นายสมัคร สาบานว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนักศึกษาในเหตุการณ์นี้นั้น ความจริงกรณีสังหารประชาชนในมัสยิดกรือเซะ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเขาก็ไม่ได้สั่งให้ยิงประชาชนโดยตรง เรื่องนี้ไม่ควรเอาศพวีรชนมาพูดเล่นๆ มีเรื่องอื่นมากมายที่นายสมัครควรจะพูด ไม่เข้าใจทำไมถึงพูดเรื่องนี้บ่อยๆ ระวังมิตรจะกลายเป็นศัตรู เพราะพูดไปแล้วก็ไม่ได้สร้างความปรองดองให้กับประเทศ ขอร้องอย่ามาล้อเล่นกับประวัติศาสตร์ วันนี้น่าจะขอโทษประชาชนมากกว่า และที่ นายสมัคร ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวนั้น ทุกอย่างก็สะท้อนจากภาพ คนตายฟรีมีจำนวนมาก” นายอดิศร กล่าว
นายอดิศร กล่าวด้วยว่า หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ตั้งรัฐบาลหอยเข้ามาปกครองประเทศ ถือเป็นยุคเผด็จการน่ากลัวที่สุด รัฐบาลหอยจ้องทำลาย กวาดล้างเสรีภาพประชาชน ขนาดพ่อตนแม้จะหนีเข้าป่า แต่ก็เกือบเสียชีวิต เพราะมีการตามล่า เช่นเดียวกับผู้นำชาวกรรมกรจำนวนมาก ดังนั้น วันนี้ผู้ที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลาน่าจะเป็นคนกลาง เช่น สื่อมวลชน หรือองค์กรสากลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ก็อาจมีปัญหาว่าเป็นการสูญเสียอธิปไตยของชาติหรือไม่ เพราะหากจะให้นายสมัครในฐานะผู้นำรัฐบาลเป็นผู้ริเริ่ม ก็อาจถูกมองว่าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาช่วยเหลือตัวเอง ไม่ควรเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลามาเกี่ยวข้อง เพราะพวกเราถูกมองว่าเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว ที่พ่ายแพ้ต่ออุดมการณ์ในการต่อสู้กับขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ในป่า