xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” กระตุ้น “หมัก” สลัดภาพ “นายกฯ หัวตอ” - จับพิรุธ “สมชัย” พลิกลิ้นชมปฏิวัติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ร้องรัฐตรวจสอบทีวีดาวเทียมเสมอภาค อย่าเจาะจงกลั่นแกล้ง “เอเอสทีวี” กระตุ้น “หมัก” อย่าเป็นแค่นายกฯ หัวตอ ต้องกล้าหาญทำเพื่อชาติ-ศาสน์-กษัตริย์อย่างแท้จริง พร้อมแนะ “บิ๊กแอ้ด” ขอโทษ ปชช.ก่อนลาเก้าอี้ ฐานปล่อยวิกฤตบ้านเมืองกลับมาเหมือนเดิม จับพิรุธ “สมชัย” ทะลุกลางปล้องชม คมช.

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์  สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 31 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้กรมประชาสัมพันธ์ เพิกถอนคำสั่งให้ กสท ระงับบริการดาวเทียมแก่เอเอสทีวี พร้อมให้เพิกถอนคำสั่ง กสท ที่สั่งระงับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของเอเอสทีวี เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า จากคำพิพากษาดังกล่าว ถือว่าขณะนี้ เอเอสทีวีไม่ใช่สถานีโทรทัศน์เถื่อนอีกต่อไป และอยากอยากฝากถึงรัฐบาลและกรมประชาสัมพันธ์ ให้ตรวจสอบสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมรายอื่นด้วย เพราะสถานีเหล่านั้น ส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียมในประเทศโดยตรง ต่างจากเอเอสทีวีที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตออกไปยิงขึ้นดาวเทียมในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นอยากให้มีมาตรฐานในการตรวจสอบให้เท่าเทียมกัน อย่าเลือกปฏิบัติเจาะจงเพื่อกลั่นแกล้งเอเอสทีวีเท่านั้น

โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นั้น ก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย.ก็เคยร่วมจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม MV1 ที่ยิงสัญญาณขึ้นดาวเทียมจากในประเทศโดยตรง รวมถึงพีทีวีที่ยังเห็นออกอากาศอยู่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ พ้นจากการเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2550 โดยมองว่า นายประชัยยอมรับเป้นครั้งแรกว่าตัวเองเป็นอนุบาลทางการเมือง ซึ่งท่าทีที่อ่อนลงคือจุดเริ่มต้นที่ดีของนายประชัย และเชื่อว่าหากนายประชัยยังอยู่พรรคประชาราช กับนายเสนาะ เทียนทอง ทั้งนายประชัยและนายเสนาะอาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เพราะถ้าร่วมมือกันคะแนนเสียงน่าจะได้มากกว่านี้

“นายประชัยเสียเงินเสียทองไปก็ไม่น้อย ถ้าจะพูดไป นายประชัย มีความโลเลทางการเมือง จนกระทั้งประชาชนที่เลือกรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นายประชัยมีสิ่งที่จะเลือกหลังจากนี้ คือ กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ไม่มีใครรอบรู้เรื่องปิโตรเลียมมากกว่านายประชัย การกลับมาเป็นพ่อค้าดูจะเหมาะสมกว่า หากคิดที่จะเล่นการเมืองต่อไป”

** กระตุ้น “หมัก” อย่าเป็นแค่นายกฯ หัวตอ

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวถึงกรณีโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การเมืองจะใสสะอาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ครม.หากการเริ่มต้มไม่ได้มองถึงความจงรักภักดีตามคำสัตย์ปฏิญาณเป็นที่ตั้ง ครม.มีแต่คนอาฆาตทหาร และสถาบันสูงสุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลกระทบ เชื่อว่าปัญหาและกระทบจะตามมา ดงนั้นนายสมัคร ที่มีความภาคภูมิใจและเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เสมอ ต้องทำให้เห็นอย่าเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีหัวตอ สั่งการอะไรรัฐมนตรีไม่ได้ รอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการอยู่เบื้อง

อย่างไรก็ตาม รู้สึกผิดหวังกับการแถลงภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ที่ส่งสัญญาณให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า ตัวเองพร้อมจะดำเนินการแก้ข้อกล่าวหาและเปิดทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ ทั้งนี้ ไม่อยากเห็นข้อครหาที่เสียหายกับนายสมัคร ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเห็นบรรยากาศ ครม.อาฆาตมาดร้าย มุ่งหวังเอาชนะทางการเมือง เป็นนอมินี ไม่ว่าจะเป็น ครม.เมียแทนผัว หรือจะเป็นพ่อแทนลูก ทั้งหมดไม่สนใจว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด อยากให้นายสมัคร เป็นตัวของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างแท้จริง

** เชื่อ “นายกฯ หมัก” แก้วิกฤตยาก

ในช่วงที่ 2 ของรายการ ผู้ดำเนินรายการกล่าวผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ เกี่ยวกับการคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งปรากฏว่าปัญหาที่ประชาชนคาดหวังน้อย ได้แก่การแก้ปัญหาไฟใต้ ปัญหาโลกร้อน และเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ เพราะไม่เชื่อว่านายสมัครจะสร้างความสงบเรียบร้อยได้ ทั้งนี้ ลักษณะอย่างนายสมัครจะแก้ไขปัญหาได้บางเรื่องเท่านั้น แต่ปัญหาที่เป็นวิกฤติอยู่คงแก้ยากอยู่พอสมควร

นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการจัดโผ ครม.ที่ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะในกระทรวงที่ถูกจับตาได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นกระทรวงที่มีประเด็นขัดแย้งและมีเรื่องร้อนๆ อยู่มาก รวมทั้งกระทรวงกลาโหม หากมีการกวาดล้างทหารหรือ คนของ คมช.ออกไป จะไม่มีคนแก้ปัญหาภาคใต้ จึงมีกระแสข่าวว่านายสมัครจะเป็น รมว.กลาโหมเอง เพื่อป้องกันความขัดแย้ง อย่างน้อยๆ ความถ้อยทีถ้อยอาศัยกันระหว่างนายสมัครกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนเก่า และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็ยังพอมีอยู่

** “หมัก” ยังเสี่ยงขาดคุณสมบัติ

ขณะเดียวกัน นายสมัครยังคงมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติให้ต้องตีความ นอกจากกรณีการถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา 2 ปี ที่อาจทำให้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) แล้ว ยังมีกรณีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 174(6) ที่ระบุว่า “ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้ว ยังไม่เกินสองปีนับถึงวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี” ซึ่งนายสมัครเคยเป็น ส.ว.เมื่อปี 2549 หากนับถึงวันรับตำแหน่งนายกฯ ถือว่ายังไม่พ้น 2 ปี

ประเด็นนี้ กกต.บางคนรวมทั้งพรรคพลังประชาชน อ้างว่ามีบทเฉพาะกาลยกเว้นเอาไว้ใน มาตรา 296 ที่ระบุให้ไม่ต้องนำ กรณีการพ้นตำแหน่ง ส.ว.ไม่เกิน 2 ปี มาใช้บังคับสำหรับการลงเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ และให้ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งปี 2549 สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ซึ่งก็มีข้อโต้แย้งกลับไปว่า การยกเว้นตามบทเฉพาะกาลดังกล่าว เป็นกรณีการลงเลือกตั้ง ส.ว. แต่มาตรา 174 เป็นเรื่องของคุณสมบัติของคนที่จะเป็นรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการมองว่า ประเด็นนี้คงจะถกเถียงกันได้ และเชื่อว่าหากมีการตีความก็มีแนวโน้มว่าจะให้นายสมัครดำรงตำแหน่งได้

**แนะ “บิ๊กแอ้ด” ขอโทษ ปชช.ก่อนลาตำแหน่ง

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยพล.อ.สุรยุทธ์ ได้กล่าวขอโทษข้าราชการที่อาจจะทำให้ลำบากใจในช่วงการเป็นนายกฯ และยอมรับว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะไม่มาดำรงตำแหน่งนี้ เพราะเข้ามาด้วยความลำบากใจ เนื่องจากไม่อยากทำงานการเมืองแต่แรก

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า คำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ ดูเหมือนจะมีอารมณ์คล้ายๆ กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีที่ให้สัมภาษณ์รายการยามเฝ้าแผ่นดินเมื่อวันก่อน อย่างไรก็ตาม การที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ขอโทษข้าราชการนั้น อยากจะให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ขอโทษประชาชนมากกว่าที่ไม่สามารถทำให้ได้ตามที่ประชาชนคาดหวัง รวมทั้งขอโทษ คมช.ที่ไม่สามารถทำงานได้บรรลุตามเหตุผลของการรัฐประหาร เพราะ พล.อ.สุรยุทธ์บรรลุแค่เหตุผลของตัวเอง คือนำประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งเท่านั้น

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ประชาชนมีความคาดหวังสูงต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายก็เห็นว่า แม้จะเป็นคนซื่อสัตย์ สุขุม แต่ไม่เหมาะกับวิกฤติที่เกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองกลับมาสู่สภาพเหมือนเดิม ความแตกแยกในบ้านเมืองยังดำรงอยู่ การทุจริตยังคงอยู่ การตรวจสอบจะทำให้ลำบากมากขึ้น การแทรกแซงองค์กรอิสระจะมากขึ้น เมื่อฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

** พิลึก! กกต.สมชัย โผล่ชื่นชม คมช.

ผู้ดำเนินรายการยังตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายกิจการสืบสวนสอบสวน ที่มีข้อครหาว่าทำเอกสารการทุจริตเลือกตั้งของนางยงยุทธ ติยะไพรัช รั่วไหล ซึ่งจู่ๆ ก็ออกมาชื่นชม คมช.ทั้งที่นักข่าวกำลังถามเรื่องอื่น แต่นายสมชัยกลับเดินไปหากล้องทีวี แล้วชื่นชม พล.อ.สนธิ ว่าการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.เป็นเรื่องที่ถูกต้องและมีความจำเป็นเพื่อไม่ให้คนไทยที่กำลังแบ่งขั้วออกมาทำลายล้างกัน และขอให้กำลังใจ พล.อ.สนธิ รวมทั้งคณะปฏิวัติ

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า การกล่าวชื่นชม คมช.ของนายสมชัยเป็นเรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้นายสมชัยเคยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ และก็ไม่ใช่เรื่องของนายสมัยที่จะมาพูดถึง คมช.ตอนนี้ หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณของการสมยอมกัน สอดคล้องกับที่ พล.อ.สนธิ ออกมาพูดเมื่อเช้าวันที่ 30 ม.ค.หลังกลับจากต่างประเทศ และนี่จะถือว่าเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ การพูดของนายสมชัยจะเป็นเหมือนการวางงวดงาน เพื่อบอกให้ใครรู้หรือเปล่า

ผู้ดำเนินรายการกล่าวทิ้งท้ายว่า การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.นั้น ทุกคนคงไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร แม้ว่าจะโล่งอกที่ผ่านวันนั้นมาได้ แต่เมื่อสถานการณ์ออกมาอย่างนี้ ก็เท่ากับว่า การรัฐประหารทำให้เสียเวลาไป 1 ปีกว่า โดยที่ไม่ได้ทำอะไรมากนัก แล้วปล่อยทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ทำให้เข้าใจว่า การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 เป็นการรักษาระบอบทักษิณเอาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วรอให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา

“ที่ พล.อ.สุรยุทธ์พูดตอนอำลาตำแหน่งว่า บ้านเมืองได้พ้นวิกฤติไปแล้ว และกำลังจะเข้าสู่เปลี่ยนผ่านนั้น จะหมายถึง เป็นการเตรียมส่งอำนาจคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่” ผู้ดำเนินรายการกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น