“สนธิ” ชี้คำตัดสินของศาลฎีกาฯ เป็นบททดสอบความอดทนของพันธมิตรฯ แนะทุกคนทำใจให้สงบ เชื่อ “พลังแม้ว” ทำอะไรตามใจได้ไม่ง่ายเหมือนยุคทักษิณเรืองอำนาจ แต่อาจสะดุดขาตัวเอง เพราะต้องรีบสั่งโยกย้าย ขรก.ช่วยเหลือนายใหญ่ที่มักใจร้อน พร้อมชี้ทุกพรรคที่ร่วมผสมพันธุ์ล้วนไร้อุดมการณ์ เห็นแก่เงินอย่างเดียว เหน็บ “ชาติไทย” เล่นการเมืองด้วยศักดิ์ศรีเป็นหรือไม่ แฉ“ทักษิณ”ยังชักใยความวุ่นวายในบ้านเมือง อีกไม่นานจะรับกรรม พร้อมชี้ กกต.บางคนเห็นเงินตาโตจนยอมทรยศต่อหน้าที่
ในช่วงที่ 2 ของรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” คืนวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ผู้ร่วมดำเนินรายการ ได้สนทนาถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทยบุกไปแถลงข่าวที่หน้าที่ทำการพรรคฯ และกล่าวโจมตีนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ไม่มีสัจจะ ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนทั้งที่พรรคพลังประชาชนยังไม่ยอมรับ 5 เงื่อนไขว่า คำพูดของนายชูวิทย์ได้รับความเชื่อถือมากขึ้น จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นคนจะมองนายชูวิทย์แค่ว่าชอบเอามัน อยากดัง เรียกร้องความสนใจ ไม่มีสาระ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สิ่งที่นายชูวิทย์ยืนหยัดนั้นเป็นความจริง ทำให้ได้รับความเชื่อถือมากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคำให้สัมภาษณ์ของนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา บุตรสาวของนายบรรหาร ที่อ้างภาวะแวดล้อม และความจำเป็นที่ผลเลือกตั้งออกมาแล้วพรรคพลังประชาชนได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก หากพรรคชาติไทยไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ก็จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าพรรคพลังประชาชนตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคชาติไทยเข้าร่วม คะแนนสียงก็จะปริ่มมาก จนเกิดปัญหาการบริหาร
หลังจากนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี ได้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความคิดเห็นในรายการว่า อยากให้ทุกคนตั้งสติและทำใจให้สงบหากยังศรัทธาและเชื่อมั่นในคุณงามความดีที่ตัวเองทำ การที่ศาลฎีกาไม่ได้ตัดสินออกมาตามแนวที่เราต้องการนั้น ก็เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีอะไรที่จะให้เราได้ดั่งใจทุกอย่าง รวมทั้งเป็นบททดสอบพวกเรา ในเรื่องความอดทน เป็นบททดสอบว่าถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเราจะสติแตกหรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้ตกอกตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในช่วงปี 2548-2549 นั้น พรรคไทยรักไทยมี ส.ส.ถึง 377 เสียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจรัฐในมือ มีทหาร ตำรวจ ข้าราชการเป็นพวก ซึ่งทำให้การต่อสู้ของพวกเราลำบากมาก แต่ในที่สุดเราก็สามารถผ่านมาได้โดยตลอด เมื่อมาถึงวันนี้ เราอย่าไปคิดว่าพรรคพลังประชาชนอยู่ในสถานภาพที่เหนือกว่า เขามีแค่ 230 กว่าเสียง
ที่สำคัญ เงินที่เขาจ่ายไปให้พรรคต่างๆ ที่เข้าร่วมรัฐบาลเป็นแค่เรื่องของวัตถุ ไม่มีอุดมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เลย พวกเขาไม่มีใจให้พรรคพลังประชาชนแม้แต่น้อย เทียบกับคนที่อยู่ฝ่ายเราด้วยใจ ถึงมีจำนวนไม่มากไม่น้อย แต่คนที่ร่วมอุดมการณ์กับเราก็มีมากกว่าตอนที่เราเริ่มต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณใหม่ๆ ทั้งข้าราชการ ตำรวจ ทหารที่อยู่ข้างเราก็มีจำนวนมากขึ้น จึงไม่คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะทำอะไรได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชาชนก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เข้ามามีอำนาจเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงแม้ว่าในข้อเท็จจริง เขาเข้ามาช่วย แต่ว่าเขาก็ต้องหาทางกลบเกลื่อนตรงนี้ ซึ่งในกระบวนการที่เขาเข้ามาช่วยนี้ อย่าลืมว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังมีข้อผิดพลาดเยอะ การช่วยนั้นเขาอาจช่วยแบบเงียบๆ แนบเนียน แต่มันไม่มีอะไรแนบเนียน ในสังคมที่โปร่งใสทุกวันนี้
“เพราะฉะนั้นแล้ว เขาก็ต้องเจอกรณีของคุณทักษิณที่ใจร้อน อยากให้รีบทำ อยากให้รีบออกกฎหมาย อยากให้ย้ายคนโน้นคนนี้ สมมุติว่าสิ่งแรกถ้าเขาจะย้ายท่านอธิบดีสุนัย อธิบดีดีเอสไอ ออกทันที คนก็เห็นทันทีเลยว่า อ้าว นี่ไง ในที่สุดก็เข้ามาเพื่อช่วยคุณทักษิณ เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่ามันไม่ง่าย เหมือนอย่างที่พวกเขาคิดกัน”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อีกประการหนึ่ง ในเมื่อพรรคที่ไปร่วมไม่มีอุดมการณ์แม้แต่พรรคเดียว มีอยู่อย่างเดียวคือผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ไม่อยากให้โกรธนายบรรหารมากนัก เพราะนี่คือการเล่นการเมืองครั้งสุดท้ายของนายบรรหาร รวมถึง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และอีกหลายๆ คนที่นั่งลอยหน้า ลอยตาอยู่ตรงนั้น
“จริงๆ ผมก็เคารพในคุณกัญจนามากนะ แต่ผมขอไม่เห็นด้วยกับคุณกัญจนาที่พูดออกมาว่า ถ้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่ไปรวมกับพรรคพลังประชาชน เสียงก็ปริ่มๆ แล้วประเทศชาติจะไปอยู่ที่ไหน คือผมก็อยากจะเรียนถามคุณกัญจนาว่า ในการเล่นการเมืองนั้นคนในพรรคชาติไทยเคยคิดบ้างไหมว่าใช้ศักดิ์ศรีเล่นแล้วก็ยอมเป็นฝ่ายค้านบ้าง
“คุณกัญจนาไม่ได้ตอบคำถามนี้นะครับ ในชีวิตของคุณพ่อคุณกัญจนานั้นมีอยู่ช่วงเดียวที่เผอิญหลุดออกไปเป็นฝ่ายค้าน แล้วก็มีคำพูดที่เป็นอมตะหลุดออกมาบอกเป็นพรรคฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง มันก็เลยทำให้ทุกคนมันเห็นชัดว่าพรรคชาติไทยเป็นพรรคที่ไม่มีอุดมการณ์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นเพียงแต่ว่ายุคนี้จะเป็นยุคสุดท้ายของคุณบรรหาร อาจจะเป็นยุคสุดท้ายของคุณสมัคร และเป็นยุคสุดท้ายของ พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งวันนี้ตัวตนที่แท้จริงของ พล.อ.สุรยุทธ์ ทุกคนก็รู้”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง เป็นเรื่องสมมติ เชื่อว่าผ่านไปอีก 2-3 เดือน คงจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้านายบรรหารเจ๊งไป นายสมัครเจ๊งไป พล.อ.สุรยุทธ์เจ๊งไป ก็จะทำให้เรามองเห็นว่า ที่ยิ่งใหญ่กันในวันนี้ มันเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น ไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว สำคัญพวกเราต้องใจสงบ อย่าไปตื่นตระหนก
“ผมอยากให้ท่านผู้ชม ASTV แฟนของพวกเรา ตลอดจนทุกๆ ท่านมองว่าเป็นเรื่องดีซะอีก ดีเพราะว่ามันเป็นการผสมพันธุ์ของสัตว์หลายประเภท แล้วมันก็จะแสดงออกมาให้เห็นเนื้อแท้ ตัวตนที่แท้จริง อย่างวันนี้พวก ส.ส.พรรคพลังประชาชนก็บินไปฮ่องกง ไปหาคุณทักษิณ
“คือวันนี้ไม่ต้องถามกันแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังทุกๆ อย่าง ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคุณทักษิณจะอ้างด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันฟังไม่ขึ้นไปแล้ว คนๆ หนึ่งที่ทำให้ชาติ บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น ผมถามคำหนึ่งว่า คุณไม่เคยคิดบ้างหรือว่า เขาจะต้องเจอกรรมในเร็วๆ นี้ แล้วผมก็เชื่อในกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราเชื่อในกฎแห่งกรรม เราต้องนิ่ง สงบ มีสติ ที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องยึดมั่นในคุณงาม ความดีที่เราทำอยู่ และเราต้องยึดมั่นในศรัทธาที่เรามีความเชื่อมั่น เราเชื่อมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แน่นอนที่สุด”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เราไม่สามารถจะไปสั่ง กกต.ให้ตามใจเราได้ เพราะ กกต.คือตัวปัญหาของประชาธิปไตยทุกวันนี้ สมัยที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ยังอยู่ ก็ไม่เคยคิดว่าจะมี กกต.เกิดขึ้นมาอีก แล้วก็มีลักษณะคล้ายๆ พล.ต.อ.วาสนาอีก เป็นบทพิสูจน์ว่าการเมืองเมืองไทยที่มันไปไม่รอด เพราะว่าเราไม่เคยมีคนที่ซื่อสัตย์สุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่คุมกติกา อย่าง กกต. ที่กล้าตัดสินใจ โดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
“เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว กกต.ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ทำ นั่นคือการทรยศต่อหน้าที่ตัวเอง เมื่อตัวเองทรยศต่อหน้าที่ตัวเองแล้ว เราจะไปพึ่ง กกต.ได้อย่างไร เราก็ต้องมาพึ่งพวกเรากันเอง”
นายสนธิ กล่าวว่า ไม่อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่คิดว่าไม่ต้องไปตำหนิคุณบรรหาร แต่ตำหนิ กกต.บางคนที่เป็นตัวทำลายชาติเช่นกัน บางคนเห็นแก่ลาภยศ เห็นแก่เงินทองที่เขาให้มา ก็หลับตาข้างหนึ่ง ความถูกผิดไม่ต้องพูดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว คนพวกนี้เขาต้องรับเวรกรรมเหมือนกัน
“อย่างน้อยที่สุดในบรรดาหมู่พวกเราก็ต้องรู้ว่าคนคนนี้ นามสกุลอย่างนี้ แล้วคุณคิดดูสิว่าชีวิตเขามีความสุขเหรอ คือคนพวกนี้เป็นคนโง่ มองเห็นวัตถุ มองเห็นเงิน ตาโต แต่เขาไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างมันเรื่องสมมติทั้งนั้น อีกไม่กี่ปีก็ตายกันไปแล้ว ผมก็เลยอยากจะฝากให้ทุกๆ คน คุณแอน คุณแอ้ม คุณปานเทพ พ่อแม่พี่น้องที่ดูรายการนี้อยู่ บอกว่าให้ใจสงบ ตั้งสติให้ดีๆ คิดถึงเหตุผลที่ผมให้ แล้วจะสบายใจนะครับ”นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย