“ขิงแก่” ยังนิ่งเรื่องดาวเทียมไทยคมให้ผู้ก่อการร้ายออกอากาศ ชี้ใครก็พลาดกันได้ไม่เว้นแม้มหาอำนาจ ขณะเดียวกัน สั่ง ตร.รับมือสถานการณ์ป่วนช่วงศาลตัดสิน “พลังแม้ว”
วันนี้ (18 ม.ค.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการสร้างประชาธิปไตยสีขาวที่จะมีความเป็นรูปธรรมในอนาคตว่า เราไม่ได้คิดว่าถนนไปสู่ประชาธิปไตยจะต้องโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราก็พยายามที่จะฟันฝ่าไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ และเป็นประชาธิปไตยที่โปร่งใสตรวจสอบได้ นั่นเป็นส่วนที่เราอยากเห็และอยากเห็น ซึ่งหากเราพยายามถ้าไม่ใกล้ก็ไม่ไกลเกินไปนัก เมื่อถามว่าจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้เหมือนมันจะไกล พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า อยู่ที่ความร่วมมือและเข้าใจ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้และไม่พยายามก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้ายืนอยู่บนความร่วมมือและมีส่วนร่วมเราจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาเราต้องยอมรับผลและต้องดูว่าการปฏิบัติจะเป็นอย่างไร อดีตที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การปฏิบัติในอนาคตก็เป็นเรื่องหนึ่งชที่จะต้องช่วยกันดูและติดตาม
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นว่าใครจะมาเป็นคณะรัฐมนตรีบ้าง ซึ่งเป็นเพียงข่าวลือ ขณะนี้ทราบเพียงว่ามีกี่พรรคประกาศร่วมรัฐบาล ขอให้คนเหล่านั้นมีเวลาทำงานพิสูจน์ตัวเอง ตนคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดี
“ผมมีความหวังว่าบ้านเมืองของเรานั้นน่าจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าต่อไป ถ้าพวกเราช่วยกันและร่วมมืออย่างที่กล่าวไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่มีส่วนร่วม เราก็จะสูญเสียโอกาสนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการที่พลเรือนจะมีเป็นรัฐมนตรีกลาโหมรับได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องถามทหาร ตนพ้นมาแล้ว และขณะนี้เป็นพลเรือน เมื่อถามว่ากรณีนายสมัครออกมาระบุว่ามีขบวนการขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป็น ฉะนั้นตนไม่ทราบว่าอะไรเป็นมือสะอาด มือสกปรก “ถ้าผมเป็นนายสมัคร ผมจะตอบได้ แต่ตอนนี้ผมเป็นคุณสุรยุทธ์ ผมตอบไม่ได้”
นายกรัฐมนตรียอมรับว่า ได้สั่งการให้ดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อยหากศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีนอมินีและการให้ใบแดงกับว่าที่ ส.ส. โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลสถานการณ์จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีการพิจารณาโดยรอบคอบจากทางกระบวนการยุติธรรมแล้ว เราควรยอมรับและปฏิบัติตาม ถ้าเอาแต่ใจตัวเอง อาศัยกฎหมู่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรในระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ตนพูดและยืนยันตลอดจะสามารถทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนผ่านไปสู่ความสงบได้
นอกจากนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะมีมาตรการลงโทษบริษัท ชินแชทเทลไลท์ ที่ปล่อยให้สถานีโทรทัศน์อัลมาน่าทีวีซึ่งเป็นเครือข่ายก่อการร้ายทดสอบสัญญาณดาวเทียมไทยคมถ่ายทอดข่าวของเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายสากลว่า คงไม่เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะไปสั่งเพิ่มเติม เพราะในขณะนี้ทางกระทรวงได้ดำเนินการไปแล้ว และทางบริษัทก็เข้าใจว่าการที่มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาขอใช้ทดลองการส่งคลื่นต่างๆ ต้องมีความระมัดระวัง เมื่อถามว่าบริษัทเอกชนคำนึงถึงเรื่องธุรกิจแต่ไม่นึกถึงเรื่องความมั่นคงรัฐบาลจะดูแลและให้ทบทวนเรื่องสัมปทานหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า กระทรวงเองต้องไปดูแลการให้สัมปทานต่างๆ อย่างที่ได้มีสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเอกชนว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ต้องมีการปรับในระดับกระทรวง
เมื่อถามว่าหลังจากมีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศว่าจะเอาคืนจากเทมาเส็ก เรื่องนี้ดำเนินการไปถึงไหน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ใน คมช. เมื่อถามว่ากระทรวงไอซีที และสภาความมั่นคงแห่งชาติจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างไรในเมื่อธุรกิจอยู่ในมือเอกชน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า มีการดูแลกันอยู่แล้ว ในส่วนที่ดำเนินการไปเป็นเรื่องในเบื้องต้นทุกอย่างเราต้องเรียนจากบทเรียนทั้งนั้นว่ามีอะไรที่เราทำพลาด เราคงจะไม่รู้ถ้าไม่มีคนเตือนเรา หลายอย่างอาจจะได้รับการเตือนอ เราเองคงไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร หรือทำอะไรที่พลาดไปบ้าง ต้องมีการปรับแก้ตลอดเวลา ไม่มีใครที่ทำอะไรไม่ผิด แม้แต่ประเทศมหาอำนาจเองก็ทำผิด
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงไอซีที เปิดเผยว่า สัมปทานของบริษัท ชินฯ เหลือเวลาอีก 7 ปี แต่จะมีการพิจารณาทบทวนอย่างไรหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล และกฎหมายสัมปทานที่เขียนไว้จะมีบทลงโทษที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ส่วนการที่บริษัทฯ อ้างว่าไม่รู้นั้นเป็นการแก้ตัวมากกว่า เพราะว่าบริษัทดังกล่าวทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้ขึ้นบันชีไว้แล้ว ซึ่งการปล่อยให้มีการมาว่าจ้างเป็นเพราะบริษัท ชินฯ ไม่มีการตรวจสอบ ก็เลยทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศในสายตาต่างชาติ
/0110