คอลัมน์ : ยวนบ้านคนดัง
ภายหลังการชิงชัยใน “ลอนดอนเกมส์” ยุติลงไป ซึ่งประเทศไทยทำเหรียญได้ต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ มีสิ่งน่าสนใจเกิดขึ้นจากบุคคล 2 คน ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้สำคัญของกีฬาไทย ลองฟังความในใจของทั้งคู่
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นฯ
“ผมพูดไปหลายต่อหลายครั้ง ต่อไปนี้ไม่ต้องมาถามกันอีกแล้ว ขอบอกตรงนี้เลยว่าจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ มวย และมีผลนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมพูดคำไหนคำนั้น ยืนยันว่าออกก็ต้องออก ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน ถ้าไม่ออกก็เสียหมาน่ะสิ ไม่ใช่เสียคน ถ้าพูดให้สุภาพหน่อยก็ต้องบอกว่า เสียสุนัข ใช่มั้ยล่ะ เราโตแล้ว เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราพูด ตอนนี้ผมไม่ใช่นายกฯ มวยแล้ว หลังจากนี้ไปก็ขอให้เป็นหน้าที่ของทางอุปนายกสมาคมฯ หรือเลขาฯ ให้ช่วยดูแลกันไป แล้วค่อยจัดเลือกตั้งกันใหม่ ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะเป็นนักมวย ผู้บริหาร สื่อมวลชน ใครต่อใครที่จะมาอ้อนวอนให้ผมอยู่ต่อ ทำเป็นน้ำตาเช็ดหัวเข่า ผมบอกได้เลยนะ ไม่ต้องมาอ้อนวอน ผมไม่อยู่ ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่ใช่คนนิสัยอย่างนั้น มันไม่ใช่วิถีทางของเรา รวมถึงถ้ามีนายกสมาคมมวยฯ คนใหม่ขึ้นมา แล้วจะให้ผมไปรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาหรืออยู่เบื้องหลัง ผมก็ไม่เอานะ เดี๋ยวจะหาว่าผมเป็นนอมินีกันอีก ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมวยอีกแล้ว วงการมวยมันไม่เหมือนวงการม้า เพราะม้ามีเส้นชัยเพียงเส้นเดียว ตัวไหนเร็วกว่าก็เป็นผู้ชนะ ไม่เหมือนมวยที่มีหลากหลายเส้นทาง ที่จะกำหนดให้ใครเป็นผู้ชนะก็ได้ สมชื่อว่าเป็นมือสมัครเล่นจริงๆ เพราะทำทุกอย่างเพื่อธุรกิจและผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง เรียกว่าเอาแต่ได้อย่างเดียว ไม่ยอมจ่ายให้ใคร ถ้าผมทำได้แบบที่ไอบ้าทำ ผมคงรวยไปนานแล้ว ผมคงไม่เหมาะสมกับตรงนี้ เมื่อไม่เหมาะก็ต้องไป และผมให้ลูกสาวทำหนังสือเป็นจดหมายถึงไอบ้า ขอลาออกจากตำแหน่งอีซีเมมเบอร์ของไอบ้าไปแล้ว ไอ้ตำแหน่งอีซีบ้าๆ บอๆ นั่นน่ะ กูไม่สนใจมึงแล้ว”
นายชุมพล ศิลปอาชา
รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬาฯ
“ผมไม่คิดเช่นนั้น ไม่คิดว่านักกีฬาไทยล้มเหลวในลอนดอนเกมส์ เพราะทุกคนทุกฝ่ายได้พยายามเต็มที่ แม้แต่สมาคมยกน้ำหนักที่จากเดิมดูเหมือนว่าจะมีปัญหา ทว่า เมื่อช่วยกันแก้ปัญหาแล้วก็สามารถแข่งขันจนได้เหรียญรางวัลกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นที่พอใจที่ได้เหรียญเงิน ขณะที่การพัฒนานักกีฬาไทย เราคงต้องพัฒนาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกับนักกีฬาของจีน โดยส่งเสริมเยาวชนให้เข้าเรียนโรงเรียนกีฬาของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เหมือนปัจจุบันที่นักกีฬาส่วนใหญ่มาจากโรงเรียนกีฬาและสถาบันพลศึกษา ซึ่งการพัฒนานักกีฬาตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม ทางกระทรวงได้เตรียมแผนพัฒนาไว้อยู่แล้ว หากได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็คงจะสามารถพัฒนานักกีฬาไทยได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานโอลิมปิกไทยแสดงความไม่พอใจผลงานของทัพนักกีฬาไทยนั้น ผมว่าเรื่องนี้ก็แล้วแต่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ หากมีแนวทางใดก็สามารถเสนอแนะมาได้ เพราะกระทรวงกีฬามีหน้าที่ผลิตนักกีฬา แต่ผู้ที่ดูแลนักกีฬาคือสมาคม ส่วนการกีฬาแห่งประเทศไทยมีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณ และผู้มีหน้าที่บริหารจัดการคือคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ดังนั้นจะเห็นว่าระบบการบริหารงานยังแยกกันออกเป็นส่วนๆ จึงต้องได้รับการบูรณาการและดูแลให้อยู่ที่เดียวกัน สำหรับแผนพัฒนานักกีฬาทีมชาติไทยนั้น เรากำลังรอการออกกฎหมาย พ.ร.บ.กีฬาฯ ที่จะเข้าสภาในเร็วๆ นี้ โดยในกฎหมายดังกล่าว นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เสนอแนะระบบการจัดการสมาคมและองค์กรต่างๆ เลียนแบบมาจากระบบการจัดการของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้ากฎหมายนี้ผ่านทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ซึ่งนายกิตติรัตน์ก็ได้รับปากแล้วว่าจะหางบประมาณมาสนับสนุนเรื่องการพัฒนาการกีฬาของไทย ขอลอตเตอรี่สักสองงวดเอาเงินมาพัฒนาการกีฬาไทย ซึ่งท่านรองกิตติรัตน์ท่านรับปากแล้ว แต่ว่าจะได้เมื่อไหร่คงต้องรอดูกันอีกที”