กรุงเทพฯ - แฉหนุ่มใหญ่สติแตกคลั่งเดือด บิดมอเตอร์ไซค์บุกเดี่ยวหวังถล่มกลุ่มผู้ชุมนุมให้เละคาสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่ดันผิดเหลี่ยมเลยเจอประชาชนรุมจับตัวไว้ได้ ฝ่ายพรรคพวกร่วมแก๊งบ่นสุดเบื่อหน่าย ห้ามหลายครั้งแต่ไม่เคยเชื่อฟังสักหนเดียว
เกือบจะกลายเป็นเหตุ 'น้ำผึ้งหยดเดียว' ให้หวาดเสียวกันทั้งประเทศเสียแล้ว โดยเมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ของวานนี้ ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ คนหนึ่ง กำลังขึ้นกล่าวปราศรัยไล่รัฐบาลหุ่นเชิด ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมชุมนุมแสดงพลังโดยไม่ยอมไปไหนแม้ฝนจะตกหนักสักเท่าไรก็ยังคงยืนหยัดเป็นกำลังใจชนิดมืดฟ้ามัวดิน แต่จู่ๆ มีฝูงชนกรูจากด้านหลังเข้ามายังด้านหน้าเวที เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และชายฉกรรจ์ที่เป็นแนวร่วมพันธมิตรฯ รีบเคลียร์ฝูงชนให้พ้นไปจากเขตที่คิดว่าน่าจะเกิดอันตราย จากนั้นจึงกระจายกำลังไปค้นหาต้นตอของจุดที่ทำให้ประชาชนแตกตื่นตกใจในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที
นายบักแหลม บรรณาธิการบริหารผู้จัดกวน ซึ่งป้วนเปี้ยนรอซดข้าวต้มกุ้งรอบดึกอยู่ในม็อบมาเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน รายงานเข้ามายังโต๊ะข่าวอย่างละเอียดลออว่า เหตุอันทำให้กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ แตกตื่นลนลานเพราะคิดว่าจะถูกตำรวจเข้ามาล้อมปราบตามที่นายสมัครปากหมูขู่กรรโชกนั้น ที่แท้กลายเป็นว่ามีหนุ่มใหญ่สติแตกรายหนึ่งบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ในอัตราความเร็ว 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ฝ่ากลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามา พร้อมตะโกนก้องซ้ำไปซ้ำมาว่า 'กูไม่ออก' โต้ตอบกับคำปลุกเร้าของแกนนำพันธมิตรฯ ที่กำลังตะเบ็งเสียง 'สมัครออกไป' อยู่บนเวที
นายบักแหลมกล่าวต่อไปว่า หลังจากบรรดาอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถเข้าประชิดติดตัวหนุ่มใหญ่ผู้ควบแมงกะไซค์อย่างไม่กลัวตายได้แล้ว กระนั้นหนุ่มใหญ่รายนี้ยังไม่ยอมสงบสติอารมณ์แต่โดยดี มิหนำซ้ำยังบิดคันเร่งเพื่อจะฝ่าด่านพันธมิตรฯไปยังใจกลางกลุ่มผู้ชุมนุมให้ได้ จนจำเป็นต้องไล่จับไล่ตามกันจ้าละหวั่น ทั้งนี้ทั้งนั้นปากของหนุ่มใหญ่ยังพล่ามตลอดเวลา
'กูไม่ออก ไล่ยังไงกูก็ไม่ออก บ้านนี้เมืองนี้มันเป็นอะไรของมันหนักหนา ปัดโธ่! จะเอากันให้ตายให้ได้ ไม่มีทางหรอกกูจะบอกให้ กำลังนี้กูบอกได้คำเดียวว่าปล่อยให้ชุมนุมกันตรงนี้ไม่ได้ กูไม่บอกว่าจะใช้กำลังตำรวจสลาย แต่ตั้งใจจะบึ่งมอเตอร์ไซค์สลายด้วยตัวเองต่างหาก ให้เข้าใจไว้ตรงนี้เสียด้วย บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปด้วยดีแต่มีคนไม่กี่หยิบมือมาถือว่าตัวเองเหนือกว่าเสียงของชาวบ้านที่เลือกรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ 63 ล้านคน กูทนรับไม่ได้ จะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป กูรับผิดชอบ' ชายซ่าผู้บ้าคลั่ง ดื้อรั้นกล่าวพลางเบิ้ลเสียงมอเตอร์ไซค์เพื่อขู่คำราม ก่อนจะว่า 'งานนี้ตายเป็นตายกูไม่กลัวเหมือนไอ้พวกแก๊งเติมเงิน รับเงินไปแล้วทำทีเป็นโพกผ้าแดงจากนั้นขับรถวนแถวสนามหลวงรอบเดียวแวบหายไปหมด อ้างว่าไปรวมตัวกันตรงนั้นมั่ง ตรงโน้นมั่ง เอาเข้าจริงๆ กลัวหน่วย รปภ.พันธมิตรฯ ใจแทบขาด ได้ยินชื่อมหาจำลองทีขวัญหนีดีฝ่อกันหมด แต่กูไม่กลัว ผ่าน 14 ตุลามาแล้ว ผ่าน 6 ตุลามาแล้ว ตอนนั้นว่าเหตุการณ์ถึงขั้นวิปโยค แต่ยังมีคนตายแค่คนเดียว กูเห็นมากับตา แถมไอ้เหลิมมันยังบอกว่าไอ้ตำรวจปึ๊ดทำปืนลั่น ดังนั้นจะไปกลัวทำไม งานนี้ถ้าจะมีคนตายก็คงต้องเป็นจำนวนเดิม คือตายคนเดียวคือกูนั่นเอง แฮะๆ แม้จะไม่ตายแต่กูก็ว่ากูตายทั้งเป็นอยู่แล้วนะกำลังนี้ แล้วยังงี้ไม่ให้บ้าติดเทอร์โบไงไหว เฮ่ย! ไอ้เป็ดเหลิมมาช่วยพี่ลุยหน่อยเป็นไร อย่ามัวตีฝีปากอยู่กับบ้านจะไปมันได้ไง'
นายบักแหลมรายงานต่อไปอีกด้วยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้รุมทำร้ายชายบ้าคลั่ง เนื่องจากใช้หลักอหิงสา และสามารถล็อกด้วยหนุ่มใหญ่จมูกหมูในแบบสันติวิธีโดยละมั่งชะมดเลียงผา
นอกจากนี้ ชายฉกรรจ์ที่อยู่แก๊งเดียวกับหนุ่มสติเฟื่อง เปิดเผยให้นายบักแหลมฟังว่าทุกคนที่อยู่ในแก๊งเดียวกันพยายามห้ามปรามหนุ่มใหญ่คลั่งเลือดคนนี้หลายทีแล้ว แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ นอกจากนั้นหนุ่มใหญ่จมูกหมูพยายามดันทุรัง โดยอ้างเสียงส่วนใหญ่ของชาวบ้านที่สนับสนุนรัฐบาล ทั้งๆ คนในแก๊งต่างรู้เป็นอย่างดีว่าที่อ้างมานั้นเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จทั้งสิ้น
'หัวหน้าใหญ่ที่ให้การสนับสนุนเรา คือเสี่ยแม้วได้ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่าอย่าบ้าคลั่งอย่างนั้นมันไม่เกิดผลดีขึ้นมาหรอก แต่เค้าไม่เคยฟังเสียงใดๆ เลย ก็สมควรแล้วที่จะตายเดี่ยวตายแห้งเพราะความดันทุรังของตัวเอง' คนร่วมแก๊งกล่าว และว่า 'ดีนะที่ถูกพันธมิตรฯ จับ ถ้าถูกทหารจับสงสัยโดนเฉือนจมูกตายแหงๆ โทษฐานซ่าและบ้าไม่เข้าพวก'