ทบ. รอสอบ “โดรนไทย” สัญญาณหายทางปอยเปต ถูกโจมตีหรือไม่ พบบันทึกพิกัด-ทุ่นระเบิดดักรถถังดัดแปลงสังหารบุคคล เช่นเดียวกับที่บ้านสามหลัง จ.ตราด ซ้ำมีหัวลูกปืนใหญ่ 105 มม. ดัดแปลงเป็นระเบิด รอกดปุ่มบึ้มทีเดียวพร้อมกัน ทำลายล้างสูง
วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงสถานการณ์ภาพรวมในพื้นที่ชายแดน ว่า จุดที่มีการปะทะหนักก็คือบริเวณพื้นที่ประสาทตาควาย เนิน 350 ซึ่งฝ่ายไทยพยายามผลักดัน ต้านทานอย่างหนัก ส่วนร่างของทหารที่พลีชีพ 2 นาย พบแล้ว อยู่ระหว่างการนำร่างออกมา ในขณะที่กองทัพอากาศ ยัง ปฏิบัติการทางอากาศสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่ กองทัพภาคที่ 1 กองกำลังบูรพา ก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง และยังคงช่วงชิงพื้นที่ โดยเฉพาะที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาบริเวณบ้านคลองแผง บ้านหนองแก้ว และบ้านหนองจาน
ส่วน UAV ที่ขาดการติดต่อไปเมื่อคืนนี้ ช่วง 20.00 น. คาดว่าน่าจะเสียการควบคุมและตก โดยกัมพูชามีการออกข่าวแล้ว โดย UAV ตัวนี้เป็นของ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ที่สนับสนุนกองทัพบกในการปฏิบัติทางอากาศ เป็น DP-20 อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ปัจจุบันอยู่ในขั้นการทดลองใช้และนำมาปฏิบัติการ ซึ่งจุดที่สัญญาณขาดหาย คือทิศตะวันออกของปอยเปต ประมาณ 10 กิโลเมตร ส่วนรายละเอียดว่าถูกโจมตีหรือไม่ หรือมีเหตุขัดข้องใด ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ทราบ
ส่วนพื้นที่ที่เราควบคุมได้แล้ว คือพื้นที่ ซำแต จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตรวจพบทุ่นระเบิดดักรถถัง ดัดแปลงสังหารบุคคล ผิดต่ออนุสัญญาออตตาวา นอกจากนี้ ยังพบเอกสารจดบันทึกพิกัดที่มีการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ ซึ่งได้เข้าไปพิสูจน์ทราบแล้ว ขณะเดียวกัน ยังพบที่มั่นดัดแปลงแข็งแรงของทหารกัมพูชา ซึ่งเชื่อว่ามีตลอดแนว รวมถึงเนิน 350 ด้วย นี่จึงเป็นความยากลำบากของทหารไทยในการรุกคืบเข้าไป
ส่วนปฏิบัติการของกองทัพเรือ ในพื้นที่จังหวัดตราด นาวาเอก เกียรติยุทธ เทียนสุวรรณ รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ทางกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้เข้ายึดพื้นที่บ้านหนองรี และขับไล่ฝ่ายกัมพูชาออกไปแล้ว จากนั้นได้นำหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ของกองทัพเรือเข้าไป ได้ตรวจพบหลักฐานจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า การปฎิบัติการทางทหารของกัมพูชาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ หรืออยู่บนหลักการพื้นฐานด้านมนุษยธรรม และไม่ได้อยู่บนพื้นฐานใดๆของอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการงดใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
พร้อมกันนี้ ยังพบบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เกี่ยวกับวิธีการและคุณลักษณะของระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 และ POMZ-2 และยังพบยุทโธปกรณ์ สรรพาวุธ อีกมากกว่า 340 รายการ นอกจากนี้ ยังมีการใช้หัวลูกปืนใหญ่ 105 มิลลิเมตร มาดัดแปลงเป็นระเบิดที่มีตัวจุดชนวนเชื่อมต่อกันจากลูกระเบิดหลายลูกเข้าไปที่ปุ่มที่สามารถกดเพียงครั้งเดียว แล้วลูกระเบิดทั้งหมดระเบิดพร้อมกัน ซึ่งถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ต่อกำลังทหารและพลเรือนไทย
ขณะเดียวกัน ยังค้นพบว่า กัมพูชามีการสร้างป้อมปราการในลักษณะของอุโมงค์ที่มีการสร้างอย่างปราณีต แข็งแรง ทำลายได้ยาก ถือเป็นอุปสรรคในการปฎิบัติการทางทหารที่ยากลำบากขึ้น แต่ทำให้เราได้รู้ว่าเราจะทำอย่างไรกับเป้าหมายเหล่านี้ให้ดีกว่าเดิม และรวดเร็วกว่าเดิม โดยหวังว่าท้ายที่สุดแล้วจะบรรลุวัตถุประสงค์ทางทหาร ในการสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางด้านกาทูตและการเมืองของเรา


