xs
xsm
sm
md
lg

เสียงสะท้อนจาก WHO FCTC COP11: เอ็นจีโอยาสูบยกย่องเม็กซิโก แม้อัตราการสูบบุหรี่สูงถึง 15.4% แต่ด้อยค่านิวซีแลนด์ที่มีผู้สูบแค่ 6.8%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากการประชุมภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC COP11) ซึ่งจัดขึ้นในช่วง 17-22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเสียงวิพากษ์หนักที่สุดเกิดขึ้นหลังจากที่ Global Alliance for Tobacco Control (GATC) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรขององค์กรภาคประชาสังคมกว่า 300 องค์กรจาก 100 ประเทศ ที่ทำงานด้านการควบคุมยาสูบ มอบรางวัลชื่นชมเม็กซิโกที่มีความโดดเด่นในการดำเนินนโยบายควบคุมยาสูบระดับโลก ทั้งที่อัตราการสูบบุหรี่ยังสูงถึง 15.4% และตลาดบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายอยู่ภายใต้อิทธิพลเครือข่ายอาชญากรรม ในขณะที่มอบรางวัล Dirty Ashtray ให้กับนิวซีแลนด์ ซึ่งมีผู้สูบเพียง 6.8% และใช้มาตรการลดอันตรายตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

นักวิชาการกว่า 50 รายชี้ว่า การปฏิเสธผลิตภัณฑ์ยาสูบทางเลือกโดยไม่พิจารณาความเป็นจริงของอุปสงค์ หรือความต้องการของผู้บริโภค อาจทำให้โลกพลาดโอกาสลดการเสียชีวิตจากการสูบปีละหลายล้านราย ขณะเดียวกันหลายประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปสะท้อนว่า นโยบายห้ามอย่างเข้มงวดกลับส่งผลลบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเร่งการเติบโตของตลาดสินค้ายาสูบที่ผิดกฎหมายมากกว่าลดอัตราการสูบจริง

องค์การอนามัยโลกและบางประเทศกำลังใช้มาตรการควบคุมยาสูบอย่างเข้มงวด โดยการเพิ่มงบประมาณอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและการห้ามสูบบุหรี่อย่างครอบคลุม สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสมดุลของทรัพยากร นโยบายที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่สร้างแรงกดดันทางการเงินเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้เกิดตลาดมืด ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงด้านอาชญากรรมและความมั่นคง แทนที่รัฐบาลจะทำสงครามไม่รู้จบและลงทุนอย่างไม่ลดละในแคมเปญต่อต้านนิโคตินอย่างจริงจัง แต่ละประเทศจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มีความยืดหยุ่น โดยอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถปกป้องสุขภาพประชาชนและรับรองความสามารถในการตอบสนองต่อวิกฤตด้านสุขภาพระดับโลกในอนาคตได้

เม็กซิโกตอนนี้ได้กลายเป็นต้นแบบที่องค์การอนามัยโลกและกลุ่มเอ็นจีโอยกย่อง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ในทางเทคนิค อัตราภาษีบุหรี่ในเม็กซิโกหยุดนิ่งมาตั้งแต่ปี 2554 ทำให้บุหรี่หนึ่งซองราคาเพียง 0.07 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าต่ำเกินไปหากเป้าหมายคือการลดกำลังซื้อของผู้สูบบุหรี่ ยิ่งไปกว่านั้น เม็กซิโกยังเป็นแหล่งผลิตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากจากตลาดมืด แม้ว่าในทางทฤษฎีแล้ว เม็กซิโกจะห้ามการขาย การจัดจำหน่าย และห้ามการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดตั้งแต่ปี 2551 ก็ตาม

การสำรวจในปี 2565 โดยคณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการป้องกันการติดยาเสพติดพบว่า ชาวเม็กซิกันประมาณ 5 ล้านคนที่มีอายุระหว่าง 12-65 ปีเคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดย 975,000 คนเป็นผู้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญได้อ้างอิงถึง Cochrane Review โดย Cochrane เป็นองค์กรอิสระระดับนานาชาติที่มีเป้าหมายในการสร้างหลักฐานสุขภาพที่น่าเชื่อถือโดยปราศจากอคติทางการค้าด้วยการรวบรวมข้อมูลและสังเคราะห์ผลการวิจัยทางการแพทย์ผ่านกระบวนการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ถือเป็น “มาตรฐานระดับทอง” ของหลักฐานทางการแพทย์ ซึ่งพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดควันมีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผู้คนเลิกบุหรี่ได้ดีกว่าแผ่นแปะนิโคติน หรือหมากฝรั่ง อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยืนยันว่าการลดอันตรายเป็นแนวคิดของอุตสาหกรรมยาสูบ มากกว่าจะเป็นกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ แม้ข้อมูลจากต่างประเทศชี้ชัดว่า นโยบายห้ามแบบครอบจักรวาล เช่นที่เม็กซิโกใช้อยู่ ก่อให้เกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้นและควบคุมไม่ได้ ขณะที่นโยบายอิงหลักฐานด้านการลดอันตรายอย่างในนิวซีแลนด์กลับถูกเอ็นจีโอที่ต่อต้านยาสูบประณาม

ในเม็กซิโก การห้ามบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดวิกฤตด้านความปลอดภัย เพราะการห้ามได้เปิดโอกาสให้กับองค์กรมืดต่างๆ เช่น Sinaloa Cartel ใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมตลาดมืดสำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้

ในทำนองเดียวกัน รัฐเซาท์ออสเตรเลียได้ลงทุนเงิน 16 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในออสเตรเลียเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับและปราบปรามการจำหน่ายยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายได้ รัฐบาลออสเตรเลียเพิ่งประกาศแผนการใช้เงินสูงถึง 63 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อจัดทำแคมเปญโฆษณาขนาดใหญ่ผ่านสื่อมวลชนและช่องทางเผยแพร่ข้อมูลทุกแพลตฟอร์มเพื่อลดจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามเหล่านี้ แต่งานวิจัยล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่า อัตราส่วนของเยาวชนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากำลังเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย โดยทั่วไปแล้ว ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย จำนวนเยาวชนอายุ 15 - 19 ปีที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทุกวันในปี 2566 สูงถึงร้อยละ 15.1 เพิ่มเป็นสองเท่าจากปี 2565 และแซงหน้าอัตราการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.7

ทิศทางบนเวทีโลกนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ไทยกำลังเผชิญปัญหาใกล้เคียงกันอย่างชัดเจน ในขณะที่กฎหมายควบคุมไม่ให้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าและมีกิจกรรมการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่องในวงกว้าง แนวโน้มอัตราผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า (ซึ่งยังถือเป็นสินค้าผิดกฎหมาย) ในประเทศไทยกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงประมาณ 1 ล้านคน ช่องทางการเข้าถึงที่แพร่หลายโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ คำถามใหญ่ที่สะท้อนมายังไทยคือ เมื่อโลกยังถกเถียงเรื่องการควบคุมยาสูบว่าแบบใดได้ผลจริง ประเทศไทยควรเดินตามโมเดลไหนเพื่อไม่ให้เกิด “ตลาดมืดที่ไร้การควบคุม” เหมือนประเทศที่ได้รับการยกย่องเป็นต้นแบบการควบคุมยาสูบ






กำลังโหลดความคิดเห็น