xs
xsm
sm
md
lg

20 ปีไทยร่วมอนุสัญญา WHO ยังถกหนัก มาตรการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าได้ผลจริงหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การครบรอบสองทศวรรษที่ไทยเข้าร่วมกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เปิดประเด็นถกเถียงเรื่องประสิทธิผลของมาตรการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อการใช้ยังขยายตัวและตลาดมืดเติบโต ขณะที่หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการ “ควบคุม” แทนการ “ห้าม”

ปีนี้เป็นการครบรอบ 20 ปี ของการเข้าร่วมกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบของ องค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ของประเทศไทย หนึ่งในนโยบายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ไทยให้ความสำคัญในช่วง 10 ปีนี้ คือการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าผ่านมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่าย ด้วยเจตนาที่จะปกป้องสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 7 เผยว่าภาพรวมของการบริโภคยาสูบไม่ต่างจาก 5 ปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากอัตราการสูบบุรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จาก 1% เป็น 2.8% โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-29 ปี มีสัดส่วนของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด จาก 3.6% ถึง 8.4% ในปี 2568 ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่ามาตรการห้ามดังกล่าวมีประสิทธิผลจริงหรือไม่ หรือมาตรการนี้ก่อให้เกิดผลตรงข้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ

แม้ว่ากฎหมายจะห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่การบังคับใช้กลับมุ่งเน้นไปที่ผู้บริโภคมากกว่าห่วงโซ่อุปทาน มีผู้ใช้หลายคนโดนจับและปรับเพราะมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง และค่าปรับก็แตกต่างกันไป โดยไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน เมื่อห่วงโซ่อุปทานยังคงอยู่ผลที่ตามมาคือตลาดมืดที่เฟื่องฟู บุหรี่ไฟฟ้ามีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายทั้งหน้าร้านค้าปลีกทั่วไปและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งมีแคมเปญการตลาด โฆษณาที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชนโดยตรง ช่องทางเหล่านี้ดำเนินงานโดยแทบไม่มีการกำกับดูแลจากเจ้าของแพลตฟอร์ม ทำให้ผู้เยาว์สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดายแม้จะมีการห้ามก็ตาม

ในปีที่ผ่านมา ความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทยรุนแรงขึ้นส่งผลให้มีการยึดสินค้าผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลยุทธ์ของผู้ประกอบการผิดกฎหมายกลับพัฒนาไป จากเดิมที่เป็นการลักลอบนำเข้าสินค้าได้เปลี่ยนมาเป็นการผลิตภายในประเทศ มีการจับกุมโรงงานบุหรี่ไฟฟ้าในห้องแถวพร้อมกับแรงงานต่างด้าวบ่อยครั้ง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การบังคับใช้กฎหมายยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะปัญหามิใช่เพียงการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าสำเร็จรูปอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแยกนำส่วนประกอบเข้ามาเพื่อผลิตในประเทศสะท้อนให้เห็นว่ายังคงผู้ผลิตที่ยอมหลีกเลี่ยงกฎหมายเพื่อตอบสองความต้องการในตลาด และสะท้อนถึงการขาดกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุม

ประเทศไทยไม่ได้เผชิญกับความท้าทายนี้เพียงประเทศเดียว ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีกรณีศึกษาที่แตกต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของแนวทางที่แตกต่างกันด้วย ออสเตรเลียยังคงยึดมั่นในจุดยืนที่ต่อต้านการห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยจำกัดการเข้าถึงผ่านช่องทางที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น ซึ่งทำให้อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 8.9% ระหว่างปี 2563 – 2566 และยังพบอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนสูงขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่ 12.9% ในกลุ่มอายุ 12-15 ปี และ 22.1% ในกลุ่มอายุ 16-17 ปี สะท้อนภาพตลาดมืดที่เฟื่องฟู จนต้องมีการยกเลิกมาตรการที่เข้มงวดนี้ไปในที่สุด

ในทางกลับกัน นิวซีแลนด์เลือกที่จะออกกฎหมายและควบคุมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2563 – 2564 อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นถึง 20% หลังจากบบุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายในตลาดนิวซีแลนด์โดยไม่มีกฎหมายควบคุม หลังจากนั้น รัฐบาลได้ออกกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เช่น การจำกัดปริมาณนิโคติน การห้ามโฆษณา และควบคุมการจำหน่ายเพื่อป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน ทำให้อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเหลือราว 14% ในปัจจุบัน นอกจากนี้รัฐบาลนิวซีแลนด์ประกาศแจกอุปกรณ์ใช้บุหรี่ไฟฟ้าฟรี สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่แบบเผาไหม้ เพื่อมีสิทธิ์เข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอันตรายน้อยกว่า เพื่อบรรลุเป้าหมาย Smokefree 2025 พร้อมกับจัดทำเวปไซต์เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าแก่ประชาชนของเขา
ความแตกต่างระหว่างสองประเทศนี้ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า รัฐบาลสามารถลดปัญหาจากการเติบโตของตลาดมืดได้ ผ่านการควบคุมการเข้าถึงด้วยข้อจำกัดด้านอายุ รวมถึงการควบคุมการขาย การโฆษณา และการตลาด ซึ่งประเทศไทยคงต้องศึกษาข้อดีและข้อเสียเพื่อมาปรับใช้กับสถานการณ์ในประเทศ

ภายใต้บริบทนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองล่าสุดของไทยนับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาเรื่องการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างลึกซึ้งที่สุด เพราะจากประสบการณ์เดิมในกรมสรรพสามิต ย่อมเห็นภาพชัดถึงผลกระทบด้านรายได้ภาษีที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่บุหรี่แบบมวน

อย่างไรก็ดี มีเสียงวิพากษ์ถึงบทบาทของกระทรวงการคลังที่ขาดความเข้มแข็งในเวทีการกำหนดยุทธศาสตร์ควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะการประชุมสำคัญระดับสากลขององค์การอนามัยโลกในปลายปีนี้ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขมักไม่เปิดโอกาสให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม ทั้งที่ปัญหานี้เกี่ยวพันหลายมิติ การกีดกันมิให้กระทรวงการคลังมีส่วนร่วมสะท้อนเจตจำนงในการรวบอำนาจด้านนโยบายไว้กับหน่วยงานเดียว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และงบประมาณของประเทศ

แม้ในอดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเคยรับปากต่อสาธารณชนว่ากระทรวงการคลังต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านนี้ ยังเป็นที่น่าตั้งคำถามว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่อย่างเอกนิติจะกล้าท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมและผลักดันบทบาทของกระทรวงการคลังให้มีส่วนร่วมกำหนดทิศทางนโยบายควบคุมยาสูบที่มีผลต่อทั้งรายได้ภาษีสรรพสามิต และผู้คนตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือจะปล่อยให้กระทรวงสาธารณสุขผูกขาดด้านการกำหนดนโยบาย และใช้องค์การอนามัยโลกมากดดันให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่ต้องการภายใต้คำว่าสุขภาพเหนือสิ่งอื่นใด
กำลังโหลดความคิดเห็น