เวลาที่ผู้คนพูดกันว่า “ไม่เคยแก่เกินเรียน” ฟังดูเหมือนสโลแกนสวยงามมากกว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่เช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 วันพิธีประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ภาพของ “ป้าวรรณ-อรวรรณ อัศนียานนท์” วัย 76 ปี ในชุดครุย DPU ที่เดินนำสายตาชื่นชมและเสียงปรบมือไปทั่วลานหน้าอาคารพิธี ดูจะเป็นคำอธิบายที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดว่า อายุไม่มีวันหยุดความสามารถ “ตราบใดที่ยังไม่หยุดเรียนรู้”
ป้าวรรณอาจไม่ได้อยู่ในแวดวงศิลปะ แต่มุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตแบบศิลปินที่ไม่หยุดสร้างงานและเติมคุณค่าให้ตัวเองอยู่เสมอ กว่า 50 ปี ในอาชีพบัญชีผ่านทั้งยุคเอกสารกระดาษกองโตไปจนถึงวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนสู่ดิจิทัล และในขณะที่หลายคนเลือกพัก เธอกลับตัดสินใจเริ่มพัฒนาศักยภาพตนเองไปที่ “จุดพีกใหม่” ของชีวิต ด้วยการเรียนปริญญาโทสาขาบัญชีดิจิทัลที่ DPU ตามแนวคิดที่เคยอ่านมาว่า “ชีวิตไม่ใช่เรื่องของจุดพีกเดียว แต่เป็นการสร้างจุดพีกย่อยตลอดทาง” มีน้ำหนักและชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
จากนักบัญชีที่ต้องหาวิธีอ่านเอกสารภาษาจีนที่อ่านไม่ออก และต้องตามหาตัวเลขที่หายไปเพียง 27 บาท ไปจนถึงการตัดสินใจ “ซ่อมใหญ่” ร่างกายในวัย 75 ปี ก่อนกลับมาปิดเล่มสารนิพนธ์ได้สำเร็จ-ทุกเหตุการณ์คือบันทึกในบัญชี ‘ชีวิต’ ซึ่งยืนยันว่าความรู้คือทรัพย์สินที่ไม่มีวันสูญหาย และพิสูจน์ว่าการเรียนรู้คือการเดินต่อที่ไม่มีวันสิ้นสุด...
‘เครดิตคำแม่’ เปิดบัญชีชีวิต
ป้าวรรณเล่าย้อนให้ฟังว่า เส้นทางชีวิตและการเป็นนักบัญชีไม่ได้เริ่มด้วยความหลงใหลในตัวเลข หรือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่เกิดจากคำแนะนำของแม่ที่บอกว่า “เรียนบัญชีจบแล้วจะได้มีงานทำ” เพียงประโยคเดียว ได้กลายเป็นเข็มทิศที่กำหนดทั้งทิศทางอาชีพและวิถีชีวิตของลูกสาวคนโตอย่างเธอ
"แรกๆ เรียนสายวิทย์ ตั้งใจเรียนจบแล้วจะไปสอบเอนทรานซ์ไม่เป็นแพทย์ก็เภสัชเหมือนเพื่อน แต่ทีนี้แม่ไปเช็กข่าวเห็นว่าพวกรุ่นพี่ก่อนหน้า หลายๆ คนเรียนสายวิทย์แล้วต่อแพทย์แต่ไปไม่ถึง คนที่เป็นที่หนึ่งของห้องยังสอบไม่ติด แม่เลยบอกว่าให้เลือกบัญชี จบแล้วได้มีงานทำ
เราเองก็ไม่ได้เก่งวิทย์มากนัก สมัยเอนทรานซ์ปี 2510 ก็เลยเลือกบัญชีเป็นอันดับแรก มีพี่ชายลูกพี่ลูกน้องบอกว่าดีแล้ว ส่วนอันดับสุดท้ายก็เลือกนิติฯ ไว้เผื่อไม่ติด อย่างน้อยๆ ก็ยังมีทางเลือก (หัวเราะ) เพราะสมัยนั้นรามคำแหงยังไม่เปิดด้วยนะ ก็เลยลองฟังแม่ดู” ป้าวรรณอธิบายพร้อมรอยยิ้มที่ยังอบอุ่นเหมือนวันวาน ราวกับถ้อยคำของแม่ยังคงชัดเจนและย้ำอยู่ในใจ เพราะช่วงเวลานั้นดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำหรับเธอแล้วกลับเป็น "จุดเปลี่ยนที่สำคัญ" และนั่นเองที่ทำให้แววตาของหญิงวัย 76 ปียังเปล่งประกายด้วยความคำนึงขณะพาเราก้าวลึกไปถึง "รากเหง้าของทัศนคติ" ที่ถูกหล่อหลอมจากบ้านและเพื่อน ราวกับว่าความทรงจำเหล่านั้นยังโลดแล่นอยู่ในใจไม่รู้เลือน
“เรื่องเรียนนี่ก็มาจากแม่เลยนะ คือแม่เป็นลูกสาว คุณตาบอกว่าผู้หญิงเรียนแค่ ป.4 แต่แกก็เห็นน้องๆ ที่ตามหลังได้เรียน พอมาถึงรุ่นเรา แกก็ผลักดันสุดชีวิต บอกให้เรียนให้สูงสุดเท่าที่เรียนได้ เราก็เป็นลูกคนโตด้วย ก็เลยทำมันทุกอย่าง (หัวเราะ) แต่สรุปว่าดี เป็นประสบการณ์ชีวิต เจออะไรก็ไป ความกลัวไม่มีเลย เพราะมีแม่เป็นแรงส่งที่ดี
หลังจากจบ ป.4 ที่โรงเรียนนันทนศึกษา แม่ก็จูงมือพาไปสอบเข้าโรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ ตอนนั้นเพิ่งเปิดแผนกธุรกิจศิลป์เป็นรุ่นแรกในระดับ ม.ศ.1 (เทียบเท่า ม.4 ปัจจุบัน) เราเรียนพิมพ์ดีด ส่วนเพื่อนๆ เรียนคหกรรมพวก เย็บปักถักร้อยกัน
เรียนไปได้สักพักอาจารย์ก็ส่งไปแข่งพิมพ์ดีด เพราะเห็นว่าทำได้ ทดลองจับเวลาก็ผ่านเกณฑ์ ปรากฏว่าพอเข้าสนามจริงเหมือนฟ้าถล่มเลย ตื่นสนาม ตกใจ ตอนนั้นยังเด็กมาก เป็นนักเรียนตัวกระจ้อย ส่วนคนอื่นที่มาแข่งเป็นวัยทำงานเก่งๆ กันแล้ว” ป้าวรรณหัวเราะหึๆ พลางเอนตัวพิงเก้าอี้เหมือนกำลังพักหายใจ ก่อนเล่าต่ออย่างเพลินใจ
“ชีวิตช่วงมัธยมถ้าพูดถึงก็มีแต่สิ่งดีๆ ในชีวิตเยอะ เพราะเป็นคนเปิดรับทุกโอกาส อย่างเช่นเรียนพิมพ์ดีดก็ได้เล่นเครื่องมือ ฝึกดีดลูกคิด พ่อ-แม่ก็ดีดกันอยู่ทุกวัน เลยรู้สึกสนุก ยิ่งเรียนแล้วทำได้ก็ยิ่งสนุก ไม่กลัวอะไร เลขคณิตกับเรขาคณิตนี่ได้เต็มตลอด ส่วนวิชาอื่นก็ไม่ได้อะไร เพราะเรียนในห้องที่มีแต่คนเก่งๆ เราไม่ใช่พวกที่หนึ่งของห้อง
เหมือนว่าน่าจะได้ยีนดีจากคุณพ่อด้วย เพราะคุณพ่อมาจากเมืองจีน ซึ่งคนจีนก็ถนัดเรื่องตัวเลขกันอยู่แล้ว ส่วนแม่เป็นคนจีนที่เกิดที่ไทย มีบ้านอยู่ข้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็กๆ คือ พอมีรถขบวนเสด็จผ่าน เด็กๆ ต่อให้กระโดดตักเต (การละเล่นโบราณ) กันอยู่ก็จะหยุดเล่น แม้แต่แม่ทำกับข้าวอยู่หลังครัวก็จะรีบออกมายืนสงบนิ่งหน้าฟุตปาธ เด็กผู้หญิงถอนสายบัว เด็กผู้ชายโค้ง ไม่มีใครมากะเกณฑ์ แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ หล่อหลอมให้เราเรียนรู้ระเบียบและกาลเทศะโดยธรรมชาติ”
บทเรียน 2 คะแนน หลักคิดรอบคอบ ‘ตั้งสำรอง’ ที่มีค่าเหนือตัวเลข
เส้นทางที่เริ่มต้นจากคำแม่ค่อยๆ ขยายออกเป็นความจริง ป้าวรรณก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะสำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตรุ่นที่ 14 ในปี พ.ศ. 2515 และที่นี่เองคือจุดเริ่มต้นของบทเรียนแรกที่ติดตัวไปตลอดเส้นทางวิชาชีพ
ป้าวรรณยังจำได้แม่นถึงบรรยากาศในวิชาบัญชี 1 ที่ ศาสตราจารย์สุธี สิงห์เสน่ห์ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) กำลังเลกเชอร์ และพูดไปด้วยว่ากำลังตรวจคำตอบวิชาบัญชี 1 ด้วยความเมามัน อาจารย์ถึงกับเอ่ยว่า “นักศึกษาคนนี้ต้องได้เต็ม 100 คะแนนแน่” แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความใจร้อนทำให้ป้าวรรณตัดหนี้สูญโดยไม่ตั้งสำรอง คะแนนจึงถูกหักไป 2 คะแนน เหลือ 98 คะแนน
ป้าวรรณยังขบคิดก่อนเผยเป็นวิทยาทานด้วยรอยยิ้มว่า ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุคืออะไร อาจเพราะทำข้อสอบไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อ่านละเอียดนัก แต่ถึงกระนั้นสองคะแนนที่หายไปได้กลายเป็นบทเรียนที่มีค่า และสอนให้ป้าวรรณรู้ว่า “งานบัญชีไม่ใช่แค่การบันทึก แต่คือการรักษาระบบทั้งระบบด้วยความรอบคอบ” ซึ่งเป็นรากฐานของนักบัญชีที่ทุกคนควรถือปฏิบัติ เพราะการตัดสินใจผิดแค่ครั้งเดียวสามารถกระทบไปทั้งระบบ
บัญชีคือการไม่เคยหยุดนิ่ง
หลังจบการศึกษาป้าวรรณเข้าสู่สนามวิชาชีพนักบัญชีเต็มตัวทันที โดยงานแรกของเธอคือการเผชิญหน้ากับการทำบัญชีสามบริษัทพร้อมกันในสภาพแวดล้อมที่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่พูดภาษาจีน เอกสารสำคัญล้วนเป็นภาษาจีน
“โชคดีเลขเป็นอารบิก ก็แกะจากที่เขียนมาบวก ลบ คูณ หาร เช็กได้นิ ก็ใช้วิชานี้เก็บพวกนี้มาแปลงเป็นใบสำคัญจ่ายภาษาไทย แล้วก็ลงบัญชี” ป้าวรรณสาธยายการทำงานและเน้นว่า “บัญชีไม่ยาก แต่การใช้ชีวิตในการทำงานนี่แหละยาก เพราะต้องอัปเดตเสมอ”
เหตุการณ์ที่ตอกย้ำปรัชญานี้ คือความละเอียดรอบคอบในการจัดทำบัญชีให้ลงตัวทุกสลึง ป้าวรรณเล่าว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีแรกของการทำงานมี "จุดพลาดที่พอจะจำได้จุดเดียว" ซึ่งก็คือการทำบัญชีของบริษัทขาดไป 27 บาท
สำหรับคนทั่วไป เงิน 27 บาทอาจไม่มีความหมาย แต่ในโลกบัญชีนี่คือธงแดงที่ไม่อาจมองข้าม “มันต้องลงตัว” ป้าวรรณย้ำ พร้อมกับงัดเทคนิคเฉพาะทางในการตามหาความผิดพลาด “ถ้าผลต่างหาร 9 ลงตัว แปลว่าสลับตัวเลข” เนื่องจาก 27 หาร 9 ลงตัว (ได้ 3) เธอจึงทราบทันทีว่าความผิดพลาดเกิดจากการสลับตัวเลข หรือที่เรียกกันว่า Transposition error
ถึงตรงนี้แม้ป้าวรรณจะกล่าวถ่อมตนว่าตนเองโชคดี แต่แท้จริงแล้วความโชคดีของเธอคือการเตรียมตัวให้พร้อมคว้าโอกาสตลอดเวลา ความสามารถในการพลิกแพลงการทำงานและวินัยที่ไม่ยอมปล่อยผ่านรายละเอียดเล็กน้อย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่พาบริษัทแรกเติบโต และเป็นคุณสมบัติที่ปูทางสู่บริษัทในเครือซิโน-ไทย อินดัสเตรียล คอร์ปอเรชั่น ที่เธออยู่ยาวนานถึง 19 ปี ทั้งที่ประวัติการทำงาน ณ ตอนนั้นวงจรเฉลี่ยทำอยู่แค่บริษัทละ 3 ปีเท่านั้น
“อยู่ที่นี่แล้วเพลิน มีอะไรให้เรียนตลอด” ป้าวรรณตอบ “ที่ซิโน-ไทย อินดัสเตรียล คอร์ปอเรชั่น ทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก จากงานบัญชีก็ขยับขึ้นมาเป็นสมุห์บัญชี ต้องดูแลเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งยุคนั้นยังไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย”
การบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ “ผันผวนมาก” ทำให้ป้าวรรณต้อง “โทร.ไปจีบหนุ่มห้องค้า” ของธนาคารเพื่อสอบถามและขอคำปรึกษาล่วงหน้า 15 วัน จนเมื่อบริษัทต้องขอสินเชื่อ เธอต้องพาคุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล ไปพบคนที่ปรึกษามาตลอด ซึ่งเธอคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโส แต่เมื่อไปถึงธนาคารกรุงเทพ และขึ้นลิฟต์พิเศษไปชั้น 27 เธอก็ต้องตกใจ
เพราะ “ที่แท้คือคุณชาติศิริ โสภณพนิช” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลโสภณพนิช “ซึ่งตอนนั้นยังหนุ่มมาก แถมยังมีความรู้ความสามารถสูง" ป้าวรรณเล่าไปพลางหัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า เรื่องเล่าที่ดูเหมือนเกร็ดเล็กน้อย แต่กลับทิ้งร่องรอยสำคัญให้เราเห็นว่าทุกเส้นทางชีวิตล้วนมีการเติบโต และทุกการพบเจออาจกลายเป็นแรงบันดาลใจ หากตั้งใจจริงและทำต่อเนื่อง มดงานตัวเล็กๆ อย่างเราก็เติบใหญ่ได้เหมือนป้าวรรณเช่นกัน
“ป้ายังมีโอกาสได้เจอคุณหนู (ท่านอนุทิน ชาญวีรกูล) สมัยเด็กๆ เดินมาเคาะเครื่องคิดเลขที่โต๊ะป้า ปัจจุบันคือนายกรัฐมนตรีประเทศไทย”
สองปริญญาโทกับการซ่อมใหญ่เครื่องจักร 75 ปี
“แรงผลักดันที่สำคัญที่สุด คือไม่อยากเป็นคุณป้าหลังเขา” ป้าวรรณว่าพร้อมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงที่ค่อยๆ เบาลงเพราะเรี่ยวแรงที่ถดถอยลงทุกวัน
ก็จริงตามที่ป้าวรรณว่า คำเรียกธรรมดานี้กลับกลายเป็นพลังที่ทำให้ไม่หยุดเรียนรู้ เธอเล่าต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า การเรียนรู้นั้นไม่ยากอย่างที่คิด หากเรายังใฝ่รู้และพยายามอัปเดตตัวเองไปเรื่อยๆ โลกที่เปลี่ยนแปลงก็จะไม่ทิ้งเราไว้ข้างหลัง
ปริญญาโทใบแรกจากนิด้ามา “โดยบังเอิญมาก” เพราะสามีตั้งใจจะให้สมัครบริหารธุรกิจ แต่กลับได้ใบสมัครรัฐประศาสนศาสตร์มาแทน ด้วยความเสียดายเงิน 200 บาท จึงตัดสินใจลองสมัคร แม้จะรู้สึกท้อในปีแรกเพราะต้องเรียนทฤษฎีจำนวนมาก แต่เมื่อเข้าสู่วิชาเศรษฐกิจ การเงิน และการบริหารในระดับมหภาค ป้าวรรณก็พบว่าโลกกว้างขึ้น และสามารถเชื่อมโยงกับงานที่ต้องบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ แม้จะยอมรับว่า “มันไม่ตรงฟีล มันไม่ใช่บัญชี”
การกลับมาเรียนปริญญาโทในวัย 76 ปีที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จึงเป็นการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยพลัง และ “เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดีในชีวิต” ป้าวรรณเล่าว่า อาจารย์ทุกท่านตั้งใจถ่ายทอดเต็มที่ โดยเฉพาะ ผศ.ดร.รัชดาภรณ์ เสมาขันธ์ ที่ทำให้เห็นว่าผลงานมีคุณค่า และทุกครั้งที่ได้เรียนรู้ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองยังคงก้าวทันโลก ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ นอกจากนี้ยังมี ดร.อรัญญา นาคหล่อ อาจารย์ที่เก่งและสามารถจัดอบรม IPAD ซึ่งมีคนนับร้อยๆ ได้อย่างไม่น่าเบื่อทุกครั้ง เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ตัดสินใจมาเรียนที่ DPU
และถึงแม้จะต้องหยุดพักไป 2 ปี ระหว่างกำลังทำสารนิพนธ์ เนื่องด้วยการผ่าตัดบายพาสหัวใจทุกเส้น ป้าวรรณก็เล่าว่า ช่วงเวลานั้นเหมือนชีวิตถูกหยุดชั่วคราว ร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ใช้งานมา 75 ปี ถึงเวลาที่ต้องซ่อมใหญ่เป็นธรรมดา แต่เมื่อผ่านการรักษาเธอก็กลับมาสานต่อเป้าหมาย เพราะในใจยังย้ำเตือนเสมอว่า "งานต้องเสร็จ เหมือนบัญชีที่ต้องปิดงบทุกปีเพื่อให้เห็นภาพรวม"
ท้ายที่สุดภารกิจ “ปิดงบ” ในชีวิตการศึกษาของป้าวรรณก็สำเร็จลงอย่างงดงามในรั้ว DPU เธอยังฝากข้อคิดแก่คนรุ่นหลังที่สะท้อนทั้งประสบการณ์และหัวใจด้วยว่า “อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อย่าปล่อยให้ตัวเองหยุดเติบโต เพราะความรู้คือทรัพย์สิน”
“วันนี้อาจยังไม่เห็นแต่วันหน้าจะได้ใช้ การเรียนไม่ยากอย่างที่คิด เพียงใส่ใจและตั้งใจเรียนรู้ ผลดีจะตามมาเอง การเรียนรู้คือการอัปเดตโลก ช่วยปิดรอยรั่วทางบัญชี และทำให้เราอยู่ในเทรนด์ที่ตลาดต้องการ แต่ถ้าเราหยุดเรียนรู้ ความรู้ก็จะเฉาตาย เด็กบางคนอายุ 40-50 กลับดูแก่กว่าเรา เพราะเขาหยุดเรียน หยุดเพิ่มเติมความรู้” ป้าวรรณทิ้งท้าย
ปัจจุบัน “อรวรรณ อัศนียานนท์” ยังคงทำงานในฐานะผู้สอบบัญชี ควบคู่กับบทบาทประธานกรรมการ บริษัท กมลวรรณ ออดิท จำกัด พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสมาคมสำนักงานสอบบัญชีไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวของสำนักงานสอบบัญชี และคณะกรรมการสมาคมสำนักงานบัญชีไทย (TAFA) ที่ให้บริการแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก บทบาทเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า สำหรับเธอ การเรียนรู้และการทำงานไม่เคยหยุดนิ่ง และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคนรุ่นใหม่และผู้ใหญ่ รวมถึงคนสูงวัยที่อยากก้าวเดินต่ออย่างมั่นคงและสง่างาม


