ตีแผ่ความจริงที่คนนอกวงการไม่รู้! ทำไมอาชีพ "นักข่าว" ถึงเป็นอาชีพที่น่าสงสารและมีอัตราการลาออกสูง เมื่อเงินเดือนเริ่มต้นเทียบเท่าวุฒิปริญญาตรีทั่วไป แต่ต้องแลกกับการทำงานไม่เป็นเวลา เสี่ยงอันตราย และโอกาสเติบโตต่ำมาก แม้เลื่อนเป็นผู้สื่อข่าวอาวุโส เงินเดือนก็เพิ่มแค่หลักพัน ชี้ชัดความเหลื่อมล้ำที่ผลักดันคนข่าวให้ออกไปหาอาชีพที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ผู้ประกาศข่าว หรือสายงาน PR
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Nipon Tangsangprateep“ นักข่าวอิสระ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกถึงความยากลำบากของอาชีพ "นักข่าว" (เน้นย้ำว่าไม่ใช่ผู้ประกาศข่าว) ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง การทำงานหนัก และค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
"นักข่าวไส้แห้ง..ต้องอึดถึกทนและต้องไม่ยอมตาย
นักข่าวคืออาชีพที่น่าสงสารที่สุดอาชีพหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อลองอ่านดูครับ (ย้ำว่า นักข่าว ไม่ใช่ผู้ประกาศข่าว)
บันไดขั้นที่ 1 :นักข่าวกับเวลานอน ครอบครัวและความเสี่ยง (ตาย)
เรื่องแรก อาชีพนักข่าวเท่ากับอาชีพรับจ้างอาชีพหนึ่งเหมือนคนทั่วไป
เงินเดือนนักข่าวหากจะเปรียบเทียบเท่ากับงานทั่วไปวุฒิปริญญาตรีที่ทำงานปกติ ปัจจุบันสตาร์ทก็หมื่นปลายๆ ถึงสองหมื่นนิดหน่อยต็มที่ ทดลองงานก็อาจต่ำกว่านั้น
อาชีพนี้ทำงานไม่เป็นเวลา บางทีตื่นตีสี่ตีห้า เลิกสี่ห้าทุ่ม บางทีไม่ได้นอน ถามว่ามีโอทีไหม บางที่มี บางที่เหมาจ่าย แต่คุ้มไหม? ไม่คุ้มหรอกอยู่ถึงเที่ยงคืนได้สองร้อย นั่งรถไหนกลับล่ะ ถ้าไม่มีรถ หรือมอเตอร์ไซค์ คำตอบคือรถเมล์
อาชีพนี้ถ้าอยู่ในสายข่าวสถานการณ์ เหตุการณ์ บอกได้คำเดียว "ฉิบหายและมีความเสี่ยงต่อชีวิต" เช่นน้ำท่วม ไฟไหม้ อย่างสถานการณ์ชายแดนใต้ที่ผมอยู่มาทั้งปีตั้งแต่ปล้นปืน 47 (น่ากลัวแต่น่าทำ ท้าทาย) จบที่ธันวาคมจะกลับบ้านที่ไหนได้ "สึนามิ" เข้าอันดามัน ถูกส่งไปอยู่พังงาอีก 4 เดือนถึงได้กลับบ้าน
แต่ถ้าเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง ก็จะเบาหน่อยไม่ซีเรียสมาก บางครั้งนักข่าวด้วยกันเองก็แซวกันเอง เช่น "รับของแจกแดกของฟรีสิ้นปีมีกระเช้า" แบบขำๆ หรือไม่ขำดีไม่รู้
เรื่องเวลา อาชีพนักข่าวอย่าไปคิดว่าจะได้อยู่กับพ่อแม่ครอบครัวพี่น้องแบบทำงานประจำแปดโมงเช้าห้าโมงเย็น บางคนทำงานเข้ากะบางคนทำงานตามแหล่งข่าวที่ถูกมอบหมายให้ติดตาม ดึกบ้างเช้าบ้าง (บางคนบอกก็เลือกเอง ใช่เลือกเองครับ)
...ถึงตรงนี้ก็แบบที่บอกนักข่าวทำไมทำงานหนักปางตายแต่ตายไม่ได้
บันไดขั้นที่ 2 : เลื่อนยศเลื่อนชั้นเงินเดือนขึ้น ฝันไปเถอะ
คนยึดอาชีพนี้ "ส่วนใหญ่" เป็นสถานะเดียวคือนักข่าว "จนแก่ตาย" ไม่มีเลื่อนชั้น คนข่าวเรียกว่าอยู่ในสนามข่าวจนตาย แต่จำนวนมากก็ภูมิใจเพราะนักข่าวคืออาชีพที่ทำเพื่อสังคมสาธารณะ
บางคนทำอาชีพนักข่าวมาสิบกว่าปี ดีใจได้เลื่อนชั้นเป็นนักข่าวอาวุโส รีไรเตอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ บรรณาธิการข่าว แต่เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดเดียว (หลักร้อยหลักพัน)
สมัยผมได้เลื่อนชั้นเป็น "ผู้สื่อข่าวอาวุโส" โอ้โหดูเท่หรือดูแก่ดี แต่เงินเดือนเพิ่มเติมนิดหน่อย หรือถ้าอยู่ไปเรื่อยๆ ก็เงินเดือนขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าเทียบกับอาชีพอื่นอัตราการขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเยอะ
นักข่าวบางคนเลื่อนชั้นไปเป็นผู้ประกาศข่าวก็สบายหน่อย เพราะผู้ประกาศเงินเดือนจะก้าวกระโดดสูงเป็นหลายเท่าของนักข่าว โดยเฉพาะยุคทีวีดิจิทัลผู้ประกาศข่าวแต่ละที่เงินเดือนสูงลิ่ว
บันไดขั้นที่สาม ไปต่อหรือพอแค่นี้...?
หลายคนทำอาชีพนักข่าวไม่นานหรือระยะหนึ่งก็ผันตัวไปเป็นนักพีอาร์ โชคดีก็ได้อยู่บริษัทใหญ่ เพราะบริษัทใหญ่คิดว่านักข่าวช่วยพีอาร์เขียนข่าวเป็น (ยุคเก่า) รวมถึงมีคอนเนกชันช่วยประสานกับนักข่าวได้ โดยเฉพาะนักข่าวสายเศรษฐกิจ (แต่เอาจริงๆ ถึงเวลาบริษัทใหญ่ก็ต้องใช้เงินซื้อพีอาร์เหมือนเดิม 555)
นักข่าวหลายคนโชคสองชั้นอาศัยเส้นสายแหล่งข่าวผันตัวไปเป็นข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจก็โชคดีไป
หลายคนหันไปทำอาชีพรับจ้างนักการเมือง เช่น ที่ปรึกษา เลขาฯ คอยถือกระเป๋า คอยเป็นที่ปรึกษา บางคนไปเป็นนักการเมืองเลยก็มีให้เห็นเยอะ
นักข่าวอีกจำนวนมากต้องเลิกอาชีพนี้ไปเพราะวิกฤตสื่อและวิกฤตเศรษฐกิจ หายหน้าหายตาไปจากวงการจากการเลย์ออฟไม่ต่างจากวงการอื่น
จรรยาบรรณวิชาชีพค้ำคอ
นักข่าวต้องมี “จรรยาบรรณ” คำนี้คนนอกวงการคงเคยได้ยิน เพราะอะไร ง่ายๆ ก็คือสื่อมีสถานะเป็นบุคคลที่ต้องทำข่าวเพื่อสาธารณะ ถ้าไม่เป็นกลางก็เรียกไม่รักษาจรรยาบรรณ เช่นรับเงินมาเขียนข่าวเป็นต้น
นักข่าวเงินเดือนน้อย หลายคนเลยยอมแหกคอกขายตัวรับเงินจากแหล่งข่าว โดยเฉพาะจากกนักการเมืองหรือซีอีโอหน่วยงาน
ตอนจบของเรื่องนี้เลยต้องบอกว่า...
อาชีพนี้เหนื่อยก็ต้องทน ทนให้ถึงที่สุด ทนไม่ได้ก็ต้องทน เพราะวิกฤตสื่อที่แข่งขันสูง “นายจ้างใช้งานหนักเงินเดือนน้อย” จรรยาบรรณก็ต้องรักษา
อดีตนักข่าวเพื่อนร่วมรุ่นผมหลายคนเลิกอาชีพไปนานแล้ว หลายคนยังทำอยู่เพราะมีภาระ และหลายคนขายวิญญาณไปแล้วแต่ก็เข้าใจ"


