xs
xsm
sm
md
lg

COP30 ชี้ชะตาโลก! ไทยตั้งเป้าลดก๊าซฯ 47% แต่ 'ภาคอาหาร' คือจุดตาย ต้องปฏิรูปการเงินหยุดหนุนทำลายป่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลไทยประกาศจุดยืนผู้นำภูมิอากาศใน COP30 เร่งผลักดัน NDC 3.0 ลดเรือนกระจก 47% ภายในปี 2035 ขณะที่องค์กรนานาชาติชี้ “อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร” คือแหล่งปล่อยก๊าซฯ ใหญ่สุด เหตุเงินทุนยังไหลเข้ากิจการทำลายป่า ด้านไทยปรับตัวรับมาตรฐานโลก: ธุรกิจชั้นนำแห่ประกาศใช้นโยบาย “ไข่ไก่ปลอดกรง” หวังยกระดับสู่ผู้นำด้านความยั่งยืนในเอเชีย

ภายหลังการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP30) ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล ประเทศไทยได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 47% ภายในปี 2035 ภายใต้กรอบ NDC 3.0 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน $1.5^\circ\text{C}$ พร้อมเผยความคืบหน้าในการผลักดันกฎหมายสภาพภูมิอากาศและการพัฒนากลไกราคาคาร์บอน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญในการบรรลุเป้าหมายโลกอยู่ที่การปฏิรูป "ภาคอาหารและการเกษตร" ซึ่งเป็นทั้งแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักและต้นตอของ 85% ของการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลก

เวทีเสวนาในงาน COP30 ซึ่งจัดโดยซิเนอร์เจีย แอนนิมอล และเครือข่ายนานาชาติ ชี้ให้เห็นว่า ระบบการเงินโลกยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากมีการอุดหนุนภาคเกษตรถึง 4.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งมากกว่างบปกป้องป่าไม้ถึง 70 เท่า ขณะเดียวกันสถาบันการเงินทำรายได้กว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากกิจการที่เชื่อมโยงกับการทำลายป่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม

คามิล่า เปรูสซี หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ด้านสถาบันการเงินของซิเนอร์เจีย แอนนิมอล กล่าวเน้นย้ำว่า "อุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการตัดไม้ทำลายป่าในอเมริกาใต้ การปฏิรูปแรงจูงใจทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เงินทุนยังคงไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสูง"

ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารรายสำคัญของเอเชีย ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับมาตรฐานสากลที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะข้อกำหนดด้านสวัสดิภาพสัตว์และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานซิเนอร์เจีย แอนนิมอล รายงานความร่วมมือกับภาคเอกชนไทยในการยกระดับมาตรฐาน โดยพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำในไทยจำนวนมากได้ประกาศนโยบายการใช้ “ไข่ไก่ปลอดกรง” เป็นเป้าหมายด้าน ESG อาทิ Banyan Tree, ONYX Hospitality Group, Minor Food และ Minor Hotels ขณะที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง Aman และ The Cheesecake Factory ได้เปลี่ยนมาใช้ไข่ปลอดกรงครบ 100% แล้ว

ความคืบหน้าเหล่านี้ไม่เพียงยกระดับมาตรฐานในประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจต่อความคาดหวังด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อต้องแข่งขันกับตลาดสำคัญอย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และระบบตรวจสอบย้อนกลับ

การยกระดับมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์นี้กำลังเป็นแนวโน้มในเอเชีย โดยมีบริษัทกว่า 300 แห่งทั่วภูมิภาคประกาศนโยบายไข่ปลอดกรงแล้ว นอกจากนี้ ภูฏานได้แบนกรงตับตั้งแต่ปี 2012 และไต้หวันประกาศใช้มาตรฐานไข่ปลอดกรงระดับชาติอย่างเป็นทางการประเทศไทยจึงอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ เพื่อผลักดันนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศไปสู่การปฏิบัติจริง และยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารให้สอดคล้องกับทิศทางความยั่งยืนของโลก






กำลังโหลดความคิดเห็น