น้องสาวของอดีตเชลยศึกกัมพูชาที่ถูกฝ่ายไทยส่งตัวกลับเพราะมีอาการป่วย อ้างพี่ชายไม่ได้เสียสติหรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่ยอมรับกินเหล้าบ้างเพราะอยู่ในค่ายทหาร และหวาดกลัวตอนรบ ไม่ได้กินข้าวหลายวัน โวยทหารไทยใช้เล่ห์เหลี่ยมจับกุมและทำร้ายซ้ำ ด้านแพทย์เขมรชี้ไม่ควรส่งไปสนามรบอีก ควรตรวจร่างกายเก็บหลักฐานไว้ฟ้องประเทศไทยดีกว่า
จากกรณีนายลีม สมแอง อดีตเชลยศึกกัมพูชาที่กองทัพไทยจับกุมตัวได้ในช่วงสงคราม 5 วันเมื่อปลายเดือน ก.ค.2568 และปล่อยตัวกลับประเทศเพราะมีอาการป่วยด้วยพิษสุราเรื้อรัง ประกอบกับมีอาการทางจิตเนื่องจากความเครียดระหว่างรบ แต่ล่าสุดถูกส่งกลับไปสนามรบอีกครั้ง ซึ่งทำให้กองทัพภาคที่ 2 ของไทยออกมาประณามว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ที่เอาคนจิตไม่ปกติมาทำการรบ ขณะที่ประชาคมแพทย์ของไทยก็ประณามเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้
ล่าสุดวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจ TFA Khmer ในเครือข่ายวิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia-RFA) ภาคภาษาเขมร ได้รายงานข่าวอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนางลึม อัน น้องสาวของนายลีม สมแอง ที่ว่าพี่ชายของเธอไม่ได้มีอาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด
นางลึม อาน อ้างว่า พี่ชายของเธอซึ่งประจำการแนวหน้า ถูกทหารไทยใช้กลอุบายจับตัวและทำร้ายซ้ำหลายครั้ง แต่กลับถูกทีมแพทย์ไทยกล่าวหาว่าเป็นคนติดสุราและมีปัญหาทางจิตอีกด้วย
เธอกล่าวกับสถานีโทรทัศน์วิทยุเอเชียเสรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า พี่ชายของเธอมีสติดีเป็นปกติก่อนถูกทหารไทยล้อมจับตัว อีกทั้งไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงจากการดื่มสุราอย่างที่ถูกกล่าวหา พร้อมระบุว่า ปัจจุบันพี่ชายได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดนแล้ว แม้ยังมีอาการสับสนเล็กน้อยหลังพักรักษาตัวอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากถูกส่งตัวกลับมาในสภาพอิดโรย
นางลึม อาน กล่าวว่า “เขาไม่ค่อยดื่ม แค่ดื่มเป็นครั้งคราวเพราะเขาอยู่ในค่ายทหาร เขาสบายดี ก่อนหน้านั้นเวลามีการยิงกัน เขาจะโทรหาครอบครัว ฉันสงสัยว่าเขาคงกลัวมากจนสับสน ตลอดช่วงที่มีการยิงกัน เขาไม่ได้กินอะไรเลยเป็นเวลาหลายวัน”
คำแถลงของครอบครัวนี้มีขึ้นหลังประชาคมแพทย์ไทยออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ตำหนิกัมพูชา โดยกล่าวหาว่ากัมพูชาส่งอดีตเชลยศึกคือนายลึม สมแอง กลับไปยังแนวสู้รบอีกครั้ง ทั้งที่เขามีอาการติดสุราเรื้อรังและป่วยทางจิต พร้อมกล่าวว่าเป็นการละเมิดต่อผู้ป่วยทางจิต และเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศสอบสวนกรณีนี้
ด้านกองทัพภาคที่ 2 ของไทยก็ได้ออกแถลงการณ์ในทำนองเดียวกัน กล่าวหาว่า นายลึม สมแอง มีปัญหาการติดสุราเรื้อรัง และมีภาวะสติหลงลืมจากความเครียดในแนวรบ และได้ทำสัญญากับกองทัพไทยไว้แล้วว่าจะไม่กลับไปรบอีก
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของนายลึม สมแอง ยืนยันว่าเป็นฝ่ายทหารไทยต่างหากที่กระทำผิดมนุษยธรรมและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากทหารไทยจับตัวทหารกัมพูชา หลังการประกาศหยุดยิง ด้วยการใช้กลอุบายขอจับมือและแอบแย่งปืน พร้อมระบุว่า หากไม่มีทหารกัมพูชาคนหนึ่งวิ่งหนีมาแจ้งข่าว ทหารกัมพูชากว่า 20 นายที่ถูกจับ อาจถูกทรมานหรืออาจถูกสังหารก็เป็นได้
ด้านนายแพทย์อุช วุทธี ประธานสมาคมแพทย์คุณธรรมกัมพูชา กล่าวว่าทหารกัมพูชาที่มีอาการสับสนดังกล่าว ไม่ควรถูกส่งกลับไปประจำการแนวหน้าอีก เพราะจะกระทบต่อภารกิจ โดยเสนอให้ทีมเทคนิคเก็บหลักฐานยืนยันการถูกทรมานจากทหารไทยเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายแพทย์อุช วุทธี กล่าวว่า “อย่างแรก เราต้องตรวจสอบว่าถูกทหารไทยทรมานอย่างไร ต้องสอบถามอย่างละเอียด อีกด้านต้องตรวจสอบว่าระหว่างถูกควบคุมตัว ทหารไทยฉีดยาหรือให้กินอะไรบ้าง เพราะอาจมีการวางยาทำให้ร่างกายผิดปกติได้”
สถานีโทรทัศน์วิทยุเอเชียเสรีระบุว่า ได้สอบถามเรื่องนี้จาก พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมผ่านช่องทางเทเลแกรม ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ
วิทยุเอเชียเสรีรายงานเพิ่มเติมอ้างว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ทหารไทยใช้เล่ห์เหลี่ยมจับทหารกัมพูชา 21 นาย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 นาย และปล่อยตัว 2 นายกลับมาในสภาพพิการและมีปัญหาทางจิต ขณะที่อีก 18 นายยังคงถูกควบคุมตัวไว้เป็นเชลย
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ พล.ท.วันชนะ สวัสดี ในฐานะรองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เคยชี้แจงว่า ทหารกัมพูชากลุ่มดังกล่าวถูกจับควบคุมตัวได้ที่บริเวณช่องซำแต จ.ศรีสะเกษ เมื่อเช้าวันที่ 29 ก.ค.ซึ่งเลยเวลาหยุดยิงแต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมหยุดจึงมีการยิงตอบโต้กันต่อเนื่อง แต่สุดท้ายฝ่ายกัมพูชายอมจำนนเพราะกระสุนหมด จึงถูกควบคุมตัวเป็นเชลยดังกล่าว


