หนึ่งในของกลางที่ตำรวจชุดสารวัตรแจ๊ะจับกุมปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่เสพยาเสพติด ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท เป็นถุงยางอนามัยยี่ห้อ SPICE ที่ สปสช.ทำแจก ท่ามกลางสารพัดปัญหาบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ที่โรงพยาบาลประสบปัญหาเรื่องการจ่ายเงิน ทำให้ขาดสภาพคล่อง
วันนี้ (2 พ.ย.) จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดของ "สารวัตรแจ๊ะ" ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ร่วมกับสืบนครบาล ตำรวจนครบาล 5 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จับกุม 4 ผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาไอซ์ ยาบ้า ยาอีน้ำ เคตามีน ยาไวอะกร้า ยาป็อปเปอร์ (สารระเหย ใช้สูดดมเพื่อลดความปวดทวารหนัก) ได้ที่ห้องสวีตในโรงแรมหรูชื่อดัง ในซอยสุขุมวิท 13 แขวงวัฒนา เขตคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ หลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านชุดลาดตระเวนออนไลน์ว่ามีการนัดหมายเพื่อมั่วสุมเสพยาเสพติด และมีเพศสัมพันธ์แบบเซ็กซ์หมู่ พบมี 29 ราย แบ่งเป็นคนไทย 28 คน และฟิลิปปินส์ 1 คน
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า หนึ่งในของกลางที่จับกุมได้ คือถุงยางอนามัยยี่ห้อ SPICE ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ผลิตเพื่อแจกจ่ายแบบหว่านแห ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมเซ็กซ์หมู่ดังกล่าว ก่อนหน้านี้ สปสช.ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการบริหารงาน เพราะโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชนมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินของ สปสช.ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนขาดสภาพคล่องทางการเงิน และกระทบการให้บริการแก่ประชาชน
ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ นายแพทย์ เอกภพ เพียรพิเศษ อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความทาง Facebook: “หมอเอก Ekkapob Pianpises” เกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัย ว่า "รู้หรือไม่ สปสช.ซื้อถุงยางอนามัยจากเงิน "ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค" ด้วยการจัดซื้อกลาง แต่สิ่งที่ไม่รู้คือจัดซื้อปีละกี่ชิ้น ราคาชิ้นละกี่บาท แจกให้ประชาชนผ่านหน่วยบริการ หรือองค์กรต่างๆ ไปที่ละกี่ชิ้น และจ่ายค่าแจกถุงยางอนามัยไปทั้งหมดกี่บาท ได้ข่าวว่าแต่ละปีมีของเหลือ แต่ก็ยังจัดซื้อด้วยปริมาณเท่าๆ เดิม ไม่รู้จริงไหม?
เท่าที่เจอข้อมูลที่มีการเปิดเผยว่า สปสช.ตั้งเป้าจัดซื้อถุงยางอนามัยไว้ 94,566,600 ชิ้น แต่จากรายงานประจำปี 2567 ของ สปสช. สรุปว่าแจกไปทั้งหมด 42,814,800 ชิ้น ถ้าเป็นตามนี้คือแจกไปได้ไม่ถึงครึ่งของจำนวนจัดซื้อ ถ้าจัดซื้อตามเป้าทุกปี แสดงว่ามีถุงยางอนามัยเหลือทุกปี? ถ้าดูจากข้อมูลราคาที่พอสืบค้นได้จากระบบ e-GP มีรายงานราคาถุงยางอนามัยที่ รพ.จัดซื้อเองที่ 2 บาทต่อชิ้น แต่... การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ซึ่งน่าจะทำผ่านองค์การเภสัชฯ ไม่สามารถหาข้อมูลได้
ถ้า สปสช.ซื้อแค่ที่แจกจะเป็นเงินทั้งสิ้น 85,629,600 บาท!!! และเมื่อรวมกับค่าแจกถุงยาง ค่าให้คำปรึกษาจะเป็นเงินเท่าไหร่??? และรู้หรือไม่ เงิน 60% ของการให้คำแนะนำ คัดกรอง HIV จ่ายให้องค์กรที่ไม่ใช่สถานบริการแต่เป็น NGO, มูลนิธิ, กลุ่มบุคคล ... สปสช.ซื้อถุงยางอนามัยเองทำไม?!!!"
ทำให้ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโฆษก สปสช.ชี้แจงว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยในแต่ละปี สปสช.มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ในราคาที่เหมาะสม โดยจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร ทั้งนี้ ปริมาณการจัดซื้อในแต่ละปี สปสช.จะพิจารณาปริมาณความต้องการถุงยางทั้งหมดจากการประมาณการของผู้เชี่ยวชาญและนโยบายที่จะเน้นในแต่ละปี เปรียบเทียบกับผลงานการให้บริการของหน่วยบริการ และหักลบด้วยปริมาณที่คงเหลือในคลังกลาง ได้เป็นปริมาณถุงยางอนามัยที่ต้องซื้อในปีนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สปสช.จัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจากหน่วยงานอื่นที่เคยจัดหาและกระจายถุงยาง เช่น กรมควบคุมโรค (12 ล้านชิ้น) สำนักอนามัย กรุเทพมหานคร (4 ล้านชิ้น) กองทุนโลก (Global fund) (10 ล้านชิ้น) หยุดการจัดหา และ UNAIDS คาดว่าประเทศไทยควรจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อ HIV ประมาณ 200 ล้านชิ้นต่อปี
ประกอบกับในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งรณรงค์ป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเยาวชน จึงมีการจัดซื้อถุงยางอนามัยปี 65 และปี 66 รวม 126.4 ล้านชิ้น ในราคาเฉลี่ย 1.2 บาทต่อชิ้น ต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคจัดหา และไม่มีการจัดหาถุงยางในปี 67 แต่อย่างใด เนื่องจากมีปริมาณคงเหลือเพียงพอ ขอย้ำว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช.ไม่ได้ทำในจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
คำถามก็คือ ที่ผ่านมาแม้ สปสช.จะแจกถุงยางอนามัย แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมซื้อถุงยางอนามัยตามร้านสะดวกซื้อ กระทั่งพบเป็นของกลางในกิจกรรมดังกล่าวจำนวนมาก จึงน่าสังเกตว่ากลุ่มเป้าหมายและรูปแบบการแจกจ่ายตรงกับกลุ่มเป้าหมายจริงหรือ?


