xs
xsm
sm
md
lg

สปสช. เปิดข้อมูล “จัดซื้อถุงยางอนามัย” ยืนยันโปร่งใส ประเมินความต้องการทุกปี ไม่ได้จัดซื้อยอดเดิม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สปสช. เปิดข้อมูล “จัดซื้อถุงยางอนามัย” บริการสร้างเสริมป้องกัน กองทุนบัตรทอง ยืนยันความโปร่งใส ประเมินความต้องการถุงยางอนามัยทุกปี ไม่ได้จัดซื้อยอดเดิม พร้อมแจงกรณีงบบริการเชิงรุกในชุมชน เพื่อคัดกรองและป้องกัน เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

วันนี้ (28 ต.ค.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโฆษก สปสช. กล่าวว่า ตามที่ นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ อดีต สส.พรรคก้าวไกล และอดีตผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความทาง Facebook: “หมอเอก Ekkapob Pianpises” เกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) นั้น

สปสช. ขอเรียนชี้แจงว่า ข้อมูลที่ระบุในโพสต์ดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการดำเนินงานของ สปสช.

ทั้งนี้ การจัดซื้อถุงยางอนามัยในแต่ละปี สปสช. มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ในราคาที่เหมาะสม โดยจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร ทั้งนี้ปริมาณการจัดซื้อในแต่ละปี สปสช. จะพิจารณาปริมาณความต้องการถุงยางทั้งหมดจากการประมาณการของผู้เชี่ยวชาญและนโยบายที่จะเน้นในแต่ละปี เปรียบเทียบกับผลงานการให้บริการของหน่วยบริการ และหักลบด้วยปริมาณที่คงเหลือในคลังกลาง ได้เป็นปริมาณถุงยางอนามัยที่ต้องซื้อในปีนั้น ๆ

ตัวอย่างเช่น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สปสช. จัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจาก หน่วยงานอื่นที่เคยจัดหาและกระจายถุงยางเช่น กรมควบคุมโรค (12 ล้านชิ้น) สำนักอนามัย กรุเทพมหานคร (4 ล้านชิ้น) กองทุนโลก (Global fund) (10 ล้านชิ้น) หยุดการจัดหา และ UNAIDS คาดว่าประเทศไทยควรจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อ HIV ประมาณ 200 ล้านชิ้นต่อปี ประกอบกับในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบาย เร่งรณรงค์ป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเยาวชน ได้จึงมีการจัดซื้อถุงยางอนามัยปี 65 และปี 66 รวม 126.4 ล้านชิ้น ในราคาเฉลี่ย 1.2 บาทต่อชิ้น ต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคจัดหา และไม่มีการจัดหาถุงยางในปี 67 แต่อย่างใด เนื่องจากมีปริมาณคงเหลือเพียงพอ “ขอย้ำว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ไม่ได้ทำในจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” โฆษก สปสช. กล่าวย้ำ

ส่วนประเด็นการจ่ายชดเชยค่าบริการให้แก่องค์กรที่ไม่ใช่สถานบริการ เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) หรือมูลนิธิที่ดำเนินงานด้านเอชไอวี ทพ.อรรถพร ชี้แจงว่า งบประมาณด้านบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในแต่ละปีมีวงเงินกว่า 4,000 ล้านบาท โดยประมาณ 3,000 ล้านบาท (ร้อยละ83) เป็นค่ารักษา ค่ายา และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการสำหรับผู้ป่วยเอดส์ และอีกประมาณ 600 ล้านบาท (ร้อยละ16.3) เป็นงบสำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยชดเชยเป็นค่าให้คำปรึกษาเพื่อการตรวจเลือดหาการติดเชื้อ ฯ บริการ PrEP/PEP ถุงยางอนามัย และค่าบริการในการค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฯ ในลักษณะเชิงรุกนอกสถานบริการ ซึ่งดำเนินการได้โดย หน่วยบริการ หรือ องค์กรภาคประชาชน หรือมูลนิธิ ที่ต้องผ่านการอบรมและรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงสาธารณสุข ในการชดเชยบริการนี้องค์กรภาคประชาชน เข้าถึงและค้นหากลุ่มเป้าหมายได้ ร้อยละ 84 จากจำนวนประชากรเป้าหมายทั้งหมด และใช้งบประมาณดำเนินการไป ร้อยละ 5.9

สำหรับบริการเชิงรุก รวมถึงการให้คำปรึกษาและการคัดกรอง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่สนับสนุนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 เน้นการดำเนินการที่ไม่ใช่หน่วยบริการเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและชุมชน

“สุดท้ายนี้ขอฝากถึงประชาชนทุกท่าน บริการสนับสนุนถุงยางอนามัยเป็นบริการที่จัดทำขึ้นสำหรับพี่น้องคนไทย เพื่อป้องกันการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และคุมกำเนิดในกรณีที่ไม่พร้อมจะมีบุตร ท่านสามารถขอรับถุงยาอนามัยได้ที่ รพ. ของรัฐทุกแห่ง ร้านยา คลินิกเวชกรรม คลินิกพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม” โฆษก สปสช. กล่าวในตอนท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น