"นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" ผู้ลี้ภัยทางการเมือง วิจารณ์แนวคิด "ความรักชาติ" ที่นำมาซึ่งการเกลียดชังและละเลยสิทธิมนุษยชนในความขัดแย้งกับกัมพูชา ชี้เป็นการ "ล้มเหลวทางศีลธรรมระหว่างประเทศ" และเท่ากับการยอมรับการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมปกป้อง "อังคณา นีละไพจิตร" ว่าทำตามมาตรฐานสากล ด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งยังจวกสังคมไทยที่ล้อเลียนผู้ถูกบังคับสูญหาย และวิจารณ์รายการ "โหนกระแส" ก่อนเผยว่า "หนุ่ม กรรชัย" ส่งข้อความขอโทษมาแล้ว
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. "นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" ผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา โดยตั้งคำถามต่อแนวคิด “ความรักชาติ” ที่ถูกตีความอย่างสุดโต่งจนละเลยหลักสิทธิมนุษยชน
"นายปวิน" ได้ระบุว่า หากคนไทยมองว่าการรักชาติต้องหมายถึงการเกลียดกัมพูชา หรือมองข้ามสิทธิมนุษยชนของอีกฝ่าย ถือเป็น “ความล้มเหลวของหลักศีลธรรมและจริยธรรมระหว่างประเทศ” พร้อมชี้ว่าแนวคิดเช่นนี้เท่ากับเป็นการยอมรับการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ และทำให้การดำรงอยู่ขององค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ (UN) หมดความหมาย
ผู้โพสต์ยังกล่าวต่อว่า ความรักชาติที่แท้จริงควรมาพร้อม “ความถ่อมตน” และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมโลก มิใช่การปิดกั้นตนเองด้วยอคติทางชาติพันธุ์
ทั้งนี้ เจ้าของโพสต์ได้อ้างถึงกรณีของ นางอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายว่า “ไม่รักชาติ” จากการแสดงความห่วงใยต่อการใช้ถ้อยคำเหยียดหยามประเทศเพื่อนบ้าน โดยชี้ว่าสิ่งที่นางอังคณาทำเป็นไปตามมาตรฐานของนักสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งไม่มีพรมแดนและไม่จำกัดด้วยอธิปไตยของรัฐ พร้อมระบุว่า ความห่วงใยดังกล่าวสะท้อนความรักชาติในเชิงสร้างสรรค์ เพราะมุ่งปกป้องภาพลักษณ์ของประเทศ
ผู้โพสต์ยังวิจารณ์ทัศนคติของสังคมไทยที่ “ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด” เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยยกตัวอย่างกรณีการล้อเลียนหรือดูหมิ่นเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกบังคับสูญหาย รวมถึงปฏิกิริยาเชิงเยาะเย้ยต่อผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกละเมิดสิทธิ
นอกจากนี้ เจ้าของโพสต์ยังกล่าวถึงรายการโทรทัศน์ชื่อดัง “โหนกระแส” ซึ่งมีการพูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนในมุมมองที่ “ลดทอนและไม่เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง” พร้อมเผยว่าได้รับข้อความขอโทษจากพิธีกรรายการ นายกรรชัย กำเนิดพลอย ภายหลังการวิพากษ์วิจารณ์
ผู้โพสต์ทิ้งท้ายว่า สื่อมวลชนควรตระหนักถึง “เส้นบาง ๆ ระหว่างการทำหน้าที่ทางธุรกิจ กับความรับผิดชอบต่อสังคม” โดยเฉพาะเมื่อประเด็นที่นำเสนอเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนสากล