หลังเหตุการณ์ “งูเห่ากัดยาย” ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาอธิบายอย่างละเอียด ระบุชนิดงูคือ “งูเห่าพ่นพิษสยาม” มีพิษต่อระบบประสาท พบได้ทั่วประเทศ ยกเว้นภาคใต้ พร้อมเผยพฤติกรรมและสาเหตุที่งูฉกผู้สูงอายุ แนะการปฐมพยาบาล วิธีป้องกันไม่ให้งูเข้าบ้าน
จากกรณีเหตุการณ์งูเห่าตัวเท่าแขนเลื้อยขึ้นเตียงฉกคุณยายวัย 93 ปี ขณะนอนพักอยู่ใต้ถุนบ้านที่เพชรบูรณ์ โดยมีลูกสาวเห็นเหตุการณ์รีบพาส่งโรงพยาบาล หวังอาการปลอดภัย ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (14 ต.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Kaedehara Pren" ได้โพสต์เพื่อระบุชนิดงู โดยโพสต์ให้ความรู้ลงกลุ่ม “นี่ตัวอะไร” โดยระบุข้อความว่า “จากเหตุการณ์งูเห่ากัดยาย ที่หลายๆ ท่านได้เห็นไป ก็สร้างความสงสัยเป็นอย่างมากว่างูเห่าอะไรกัด แล้วคุณยายนอนอยู่เฉยๆ ทำไมงูมันถึงกัดได้ โพสต์นี้มีคำตอบให้อย่างละเอียดค่ะ
1.) “งูอะไรกัดคุณยาย” คำตอบคือ #งูเห่าพ่นพิษสยาม 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘴𝘪𝘢𝘮𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴 มีพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นหลัก ซึ่งพิษของเขาใช้ในการล่าเหยื่อและป้องกันตัวเท่านั้น โดยความสามารถของเขาคือสามารถพ่นพิษได้ในระยะ 1-2 เมตร
งูเห่าพ่นพิษสยามสามารถพบได้ทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ เพราะภาคใต้จะพบ #งูเห่าพ่นพิษสุมาตรา 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘴𝘶𝘮𝘢𝘵𝘳𝘢𝘯𝘢 เป็นคนละชนิดกับงูเห่าพ่นพิษสยาม ซึ่งจังหวัดที่เกิดเหตุคือจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นจังหวัดที่มีรายงานพบงูเห่าพ่นพิษสยามอยู่บ่อยครั้ง
โดยในประเทศไทยพบงูเห่าอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
#งูเห่าไทย 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘬𝘢𝘰𝘶𝘵𝘩𝘪𝘢
#งูเห่าพ่นพิษสยาม 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘴𝘪𝘢𝘮𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴
#งูเห่าพ่นพิษสุมาตรา 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘴𝘶𝘮𝘢𝘵𝘳𝘢𝘯𝘢
#งูเห่าภูเขา 𝘕𝘢𝘫𝘢 𝘧𝘶𝘹𝘪
ทั้ง 4 ชนิดนี้มีพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นหลัก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
2.) “ทำไมงูถึงกัดคุณยาย” คำตอบคือ งูเห่าตัวดังกล่าวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของคุณยายขณะที่คุณยายกำลังนอนอยู่ เป็นปกติของคนเราที่เวลานอนจะต้องมีขยับตัวกันบ้าง แต่ด้วยความที่งูเป็นสัตว์ที่สายตาไม่ดี เขาจึงโฟกัสจากสิ่งที่เคลื่อนไหว สิ่งใดที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาและมีการเคลื่อนไหวไปมาจะทำให้งูคิดว่าสิ่งนั้นคือภัยคุกคาม
หากสังเกตดีๆ ในตอนที่คุณยายยังไม่ขยับตัว งูเห่านั้นยังเลื้อยอยู่ปกติ ไม่มีท่าทีก้าวร้าวหรือจะฉกกัด แต่ทันทีที่คุณยายขยับแขน ทำให้งูตกใจและแผ่แม่เบี้ยเตือน ซึ่งหากมองละเอียดอีกนิด จะสังเกตเห็นว่าจังหวะที่งูเห่าแผ่แม่เบี้ยนั้น ตรงกับจังหวะที่คุณยายขยับมือพอดี จากนั้นงูตัวดังกล่าวก็เลื้อยไปที่มือของคุณยาย คาดว่าไปดมกลิ่นเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
ซึ่งงูเป็นสัตว์ที่มีจมูกไว้ใช้หายใจเท่านั้น การรับกลิ่นของเขาจึงเป็นการแลบลิ้นตลอดเวลา เพื่อให้โมเลกุลกลิ่นมาสัมผัสกับปลายลิ้น จากนั้นงูจะหดลิ้นกลับเข้าไปและส่งโมเลกุลดังกล่าวไปที่ร่องรับกลิ่น หรือที่เรียกว่า Jacobson organ เพื่อวิเคราะห์ว่าเป็นกลิ่นของอะไร
บางท่านสงสัยว่า “งูเห่าจับความร้อนได้จากผิวคุณยายรึเปล่า” คำตอบคือ ไม่ค่ะ งูเห่าไม่มีรูรับความร้อน หรือที่เรียกว่า Pit organ โดยในประเทศไทยมีงูที่มี Pit organ ได้แก่ งูเหลือม งูหลาม งูกะปะ และกลุ่มงูเขียวหางไหม้ค่ะ สำหรับงูเห่าจึงใช้การรับกลิ่นและโฟกัสสิ่งที่เคลื่อนไหวเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน คุณยายคงรู้สึกได้ว่ามีอะไรมาสะกิดโดนมือ คาดว่าเป็นลิ้นของงูที่ยื่นมารับกลิ่น คุณยายก็เลยขยับมืออีกหลายๆ ครั้ง ทำให้งูนั้นตกใจและฉกเข้าที่ปลายนิ้วของคุณยาย จึงเป็นเหตุผลว่าคุณยายนอนอยู่ดีๆ ทำไมจึงถูกงูฉกได้ค่ะ
3.) “ปฐมพยาบาลอย่างไรเมื่อถูกงูกัด” คำตอบคือ อันดับแรกต้องตั้งสติก่อน และรีบล้างแผลให้สะอาด หากงูที่กัดยังอยู่ในบริเวณนั้นให้รีบถ่ายภาพเอาไว้ แต่ถ้าหายไปแล้วก็ไม่ต้องตามหา และขยับส่วนที่โดนกัดให้น้อยที่สุด ใช้กิ่งไม้หรือด้ามอะไรแข็งๆ ดามไว้ได้ก็จะดีมาก แต่ ณ ตอนนั้นหากหาไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลาหานะคะ รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และเพื่อความปลอดภัยควรมีใครสักคนพาไปค่ะ เพราะหากไปคนเดียวและหมดสติกลางทางจะทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ห้ามดูดพิษ ห้ามขันชะเนาะ ห้ามเอาสมุนไพรหรือมะนาวทา ห้ามรนแผลด้วยไฟ ห้ามกรีดแผล
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วให้นำรูปงูให้แพทย์ดู หรือระหว่างทางจะนำรูปมาโพสต์ถามชนิดในกลุ่มนี่ตัวอะไรก็ได้ แต่หากเป็นเคสฉุกเฉินเช่นนี้ขอให้ส่งรูปมาถามทาง Open Chat นี่ตัวอะไร จะดีกว่าเพื่อความรวดเร็วไม่ต้องรออนุมัติ
(QR code open chat ใต้คอมเมนต์)
และหากแพทย์ไม่ให้เซรุ่มก็ไม่ต้องตกใจหรือโวยวายไปนะคะ เพราะเซรุ่มต้านพิษงูไม่ใช่จะฉีดให้ใครก็ได้ บางคนมีอาการแพ้เซรุ่ม หากฉีดเข้าไปจะทำให้เป็นอันตรายเข้าไปใหญ่ การรักษาของแพทย์ในเบื้องต้นจึงเป็นการรักษาตามอาการ
4.) “ป้องกันอย่างไรไม่ให้งูเข้าบ้าน” คำตอบคือ จัดการบริเวณบ้านก่อนเป็นอันดับแรก เพราะหากบริเวณบ้านมีความรก จะทำให้เกิดเป็นแหล่งหลบภัยและแหล่งอาหารของงู เช่น หนู กบ คางคก ฯลฯ และงูเป็นสัตว์ที่ขี้กลัว เขาจึงต้องหาที่รกๆ เพื่อเข้าไปซ่อนและหลบสายตาจากนักล่า
หากมีช่องโหว่ในบ้านให้ปิดช่องและอุดรูให้หมด ไม่ว่าจะเป็นรูตามกำแพงหรือช่องใต้โพรงบ้าน เพราะจะทำให้เป็นทางผ่านของงูและงูอาจเข้ามาหลบภัยในบริเวณบ้านเราได้ หรือจะใช้ตาข่ายช่องเล็กล้อมรอบบ้านไว้ก็ป้องกันได้ดีเช่นกัน
หรือลงทุนหน่อยคือการสร้างกำแพงสูงๆ สภาพดีไม่แตกง่าย เพราะมันยังสามารถป้องกันอย่างอื่นนอกจากงูได้ด้วย และหากมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในที่รกร้าง แนะนำให้ลงทุนซื้อรองเท้าบูตหนาๆ ดีๆ สักคู่ จะช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่งค่ะ
พืชพันธุ์ไม้กันงูไม่ช่วย ผงไล่งูไม่ช่วย มะนาวไม่ช่วย ขี้เถ้าไม่ช่วย กำมะถันไม่ช่วย กรวดและหินเกล็ดไม่ช่วย น้ำมันต่างๆ ไม่ช่วยค่ะ
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายๆ คนเป็นห่วงสมาชิกในครอบครัวอย่างมาก บ้างก็บอกว่าหากเจอแบบนี้กับคนในครอบครัวคงไม่เอางูไว้ ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล แน่นอนว่าแอดมินหรือใครก็ตามไม่มีใครสามารถห้ามได้
แต่อยากบอกว่างูเห่าเขาเป็นงูที่มีประโยชน์มากๆ ถึงแม้เขาจะมีพิษอันตรายถึงชีวิต แต่หากเราไม่ทำให้เขาตกใจก่อน (ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่) เขาก็ไม่ทำอะไรเราแน่นอน
เขาเป็นงูที่มีความสำคัญทางการแพทย์ไทยอย่างมาก พิษของเขานำมาทำเป็นเซรุ่มต้านพิษงู และตัวของเขาเองยังสามารถช่วยควบคุมประชากรสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู ได้ดีมากๆ เลย อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารให้กับผู้ล่าชนิดอื่น เช่น งู นก เสือ ฯลฯ การที่เราทำร้ายเขาโดยไม่จำเป็น อาจทำให้สูญเสียประชากรงูไปจากระบบนิเวศ 1 ชีวิตค่ะ
เขาไม่ได้อยู่ผิดที่ผิดทาง ทุกสถานที่เคยเป็นป่า เคยเป็นบ้านของเขามาก่อน เขาเป็นสัตว์ป่าและอยู่มาก่อนเรา เขาก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับชุมชนในปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็อยากให้คนเราได้ปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับเขาด้วย
และอยากย้ำเตือนอีกครั้งว่ากลุ่มนี่ตัวอะไร ไม่ใช่พื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นยุยงให้กำจัดสัตว์ท้องถิ่นในพื้นที่นั้นๆ อยู่แล้วทั้งสิ้น อย่างเช่น งู ตะขาบ แมงมุม ฯลฯ หากท่านใดแสดงความคิดเห็นแนวนี้ในพื้นที่ของกลุ่ม จะถูกแบนถาวรทุกกรณี
จุดประสงค์หลักของกลุ่มคือการศึกษาชนิดสัตว์ พฤติกรรม อนุรักษ์สัตว์ท้องถิ่น และหาวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติค่ะ ไม่ว่าจะสัตว์หรือคน ล้วนรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น