ตำรวจ สน.พระราชวังรวบชายสัญชาติจีนวัย 59 ปีก่อเหตุฉกสร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 บาทมูลค่านับแสน ทำทีเป็นลูกค้าก่อนใช้มือซ้ายกำเอาไว้ก่อนล้วงกระเป๋ากางเกง พบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกประเทศเดือนละครั้งแต่อยู่ไม่เกิน 3 วัน
วันนี้ (12 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ต.ค.) เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังจับกุมนายลี อายุ 59 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับของศาลแขวงดุสิต ลงวันที่ 10 ต.ค. ในข้อหาลักทรัพย์ ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนตรีมิตร ย่านหัวลำโพง กรุงเทพฯ หลังก่อเหตุลักสร้อยข้อมือทองคำจากร้านทองแห่งหนึ่งในพื้นที่ สน.พระราชวัง
สืบเนื่องมาจากเจ้าของร้านทองแห่งหนึ่ง เข้าแจ้งความต่อ สน.พระราชวัง เมื่อวันพุธ (8 ต.ค.) ว่า เมื่อเวลา 15.15 น. ของวันดังกล่าวทางร้านได้ตรวจเช็กสต๊อกสินค้าที่จำหน่าย พบว่าสร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 บาท มูลค่าประมาณ 111,280 บาท หายไป 1 เส้น จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าเวลา 11.08 น. มีลูกค้าเป็นชาย พูดภาษาจีน เดินเข้ามาทำทีขอดูสร้อยข้อมือทองคำ ขณะกำลังเลือกดูสร้อยข้อมือทองคำ ผู้ก่อเหตุได้ใช้มือซ้ายกำเอาสร้อยข้อมือทองคำไว้ จากนั้นได้ทำทีเอามือข้างที่กำสร้อยล้วงกระเป๋ากางเกง จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง
ฝ่ายสืบสวน สน.พระราชวังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดและออกสืบสวนหาข่าว พบว่าผู้ก่อเหตุได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนตรีมิตร จึงเข้าตรวจสอบโรงแรมดังกล่าว ก่อนรวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุญาตศาลแขวงดุสิตออกหมายจับ จากนั้นชุดจับกุมได้เฝ้าติดตามผู้ก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลาประมาณ 17.30 น. พบผู้ก่อเหตอยู่บริเวณล็อบบี้ภายในโรงแรม เจ้าหน้าที่จึงเข้าแสดงตัวและแสดงหมายจับ โดยมีล่ามแปลภาษาจีนในการสื่อสาร นายลีได้ยอมรับเป็นบุคคลตามหมายจริง จึงแจ้งข้อกล่าวหาและเชิญตัวมาที่ห้องปฏิบัติการสืบสวน สน.พระราชวัง
จากการสอบสวนนายลี ผู้ต้องหาให้การว่าเป็นชาวมณฑลหูหนาน ประเทศจีน เดินทางมาดูทองร้านดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ก่อเหตุดังกล่าว แต่ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ เบื้องต้นตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่ามีการเข้าออกประเทศเดือนละ 1 ครั้ง แต่อยู่ไม่เกิน 3 วัน โดยในวันก่อเหตุได้เตรียมเสื้อผ้ามา 2 ชุด หลังไปร้านทองดังกล่าวเสร็จได้เตรียมเดินทางกลับประเทศจีนทันที เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และแจ้งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป