xs
xsm
sm
md
lg

"สุวินัย" ขอโทษ "สนธิ" ที่งับ fake news กล่าวหากลับใจยืนข้าง "ทักษิณ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"สุวินัย ภรณวลัย" ขอโทษ "สนธิ ลิ้มทองกุล" หลังเคยงับ Fake News กล่าวอ้างว่าสนธิกลับใจ เห็นใจทักษิณ ชินวัตรที่เป็นแพะรับบาป โดยไม่ได้ตรวจสอบต้นตอของข้อมูลให้รอบด้าน

วันนี้ (6 ต.ค. 68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก  "สุวินัย ภรณวลัย" ระบุว่า สนธิไม่ได้กลับใจ : ข่าวเรื่องกลับใจคือ Fake News และบทเรียนว่าด้วยจิตวิทยาการเมืองของความอยากเชื่อ

1. คำขอโทษจากผู้ที่เคยงับ Fake News


ผมต้องเริ่มต้นบทความนี้ด้วยคำ “ขอโทษ” คุณสนธิอย่างตรงไปตรงมา เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็พลาด - พลาดเชื่อข่าวที่ว่า “สนธิ ลิ้มทองกุลกลับใจ เห็นใจทักษิณ ชินวัตรที่เป็นแพะรับบาป” โดยไม่ได้ตรวจสอบต้นตอของข้อมูลให้รอบด้าน

ต่อมาคนสนิทของคุณสนธิได้ติดต่อมาชี้แจงพร้อมส่งคลิป TikTok ที่เจ้าตัวพูดเองยืนยันชัดว่าข่าวดังกล่าวเป็น Fake News
ผมจึงขอใช้พื้นที่นี้ทั้งเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และเพื่อชวนทุกคนมองปรากฏการณ์นี้ในเชิงลึก ว่าเหตุใดผู้คนจำนวนมาก - ไม่เฉพาะผม - จึง “รู้สึก” ว่าคุณสนธิ "กลับใจ" ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย

2. Fake News ที่เกิดจากความอยากเชื่อ

ยุคนี้ “ความรู้สึก” มักวิ่งเร็วกว่าความจริง และหลายครั้งข่าวปลอมไม่ได้เกิดจากความจงใจหลอกลวง แต่มาจาก “ความอยากเชื่อ” ของมวลชนเอง ในโลกที่อารมณ์เป็นใหญ่เหนือข้อมูล มนุษย์จะเลือกเชื่อสิ่งที่สอดคล้องกับอารมณ์ที่ตนกำลังรู้สึก (perception) ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง Fake News จึงไม่ต้องการผู้สร้างเก่งๆ

แค่ต้องการผู้เชื่อที่กำลังเหนื่อยและอยากเห็นโลกง่ายขึ้น กรณีข่าว “สนธิกลับใจ” ก็เป็นเช่นนั้น มันแพร่ไวเพราะผู้คนอาจเหนื่อยหน่ายจากความขัดแย้งเก่าและอยากเชื่อว่า “ถึงเวลาที่อดีตศัตรูจะคืนดีกันเสียที”จึงเผลอร่วมสร้างภาพลวงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

3. ทำไมผู้คนจึง รู้สึก ว่าสนธิกลับใจ

หากมองอย่างเป็นธรรมต้นเหตุของความเข้าใจผิดไม่ได้อยู่ที่ “คำพูดของสนธิ” แต่อยู่ที่ “การเปลี่ยนเป้าหมายในการวิพากษ์” ของเขาจากที่เคยตำหนิทักษิณอย่างรุนแรงในอดีต

วันนี้คุณสนธิกลับหันไปวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บัดนี้กลายเป็นองคมนตรีแล้ว ด้วยน้ำเสียงเข้มข้นไม่แพ้กันในสายตาของผู้ที่คิดแบบขาว-ดำภาพนี้ถูกตีความง่ายๆ ว่า “เขาคงเปลี่ยนข้างแล้วแน่ๆ” แต่ในความจริง สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ผู้มีอำนาจที่ต้องตรวจสอบ” ไม่ใช่ “จุดยืน” ของผู้ตรวจสอบ คุณสนธิยังคงยึดหลักเดิม‐ตรวจสอบผู้มีอำนาจ ไม่ว่าผู้นั้นจะชื่ออะไร

4. ไฟย้ายฟืน : จิตวิทยาของความเข้าใจผิด

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่เรียกว่า “ไฟย้ายฟืน” คือเมื่อไฟแห่งความเกลียดหรือความเชื่อแรงกล้าต่อสิ่งหนึ่งเริ่มมอดลงจิตมนุษย์ซึ่งคุ้นเคยกับการ “มีศัตรู”
จะหาฟืนใหม่มารองรับเปลวไฟนั้นเสมอ ไฟไม่ได้ดับ มันแค่เปลี่ยนเชื้อเพลิง 

คนที่เคยตั้งศัตรูไว้ชื่อ “ทักษิณ” เมื่อไม่อยากเกลียดเขาแล้วก็ย้ายความเกลียดไปเผา “ลุงตู่” แทนโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเห็นคุณสนธิพูดถึงลุงตู่ด้วยน้ำเสียงเข้ม ภาพในใจมวลชนที่รักลุงตู่จึงสรุปโดยอัตโนมัติว่า “เขากลับใจแน่ๆ” ทั้งที่เจ้าตัวเพียงใช้ไฟดวงเดิมเพียงเปลี่ยนฟืนเท่านั้นเอง

5. Perception vs Reality : เมื่อภาพในใจชนะข้อเท็จจริง

เราทุกคนกำลังอยู่ใน “ยุคหลังความจริง” (post-truth era) ซึ่ง "ภาพในใจผู้คน" มีอำนาจเหนือข้อเท็จจริง ผู้ที่อยากเห็นความปรองดองจะมองทุกการพูดอ่อนเสียงลงว่าเป็น “การกลับใจ” ผู้ที่อยากเห็นศัตรูเก่ากลับตัวจะตีความความเงียบว่าเป็น “สัญญาณสำนึกผิด” ในขณะที่ความจริงอาจเป็นเพียง “การพูดด้วยสติ” มากขึ้นเท่านั้นเอง

กรณีคุณสนธิจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนสังคมว่าเรายังติดอยู่ในจิตแบบ binary politics-ที่ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องตีความว่า “อยู่ฝ่ายไหน” ทั้งที่ในความจริงจิตที่เติบโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างอีกต่อไป

6. บทเรียนแห่งสติ

เหตุการณ์นี้สอนผมอย่างหนึ่งว่า “แม้ผู้ที่รู้เท่าทันสื่อ ก็ยังอาจพลาดได้ถ้าใจอยากเชื่อ” เพราะต้นเหตุของความหลงไม่ใช่ความไม่รู้ แต่คือความอยากให้โลกเป็นไปตามใจตน จึงขอให้บทความนี้เป็นทั้งคำขอโทษและคำเตือนตัวเองว่า-ในยุคที่ทุกคนถือไมค์อยู่ในมือ การนิ่งและตรวจสอบก่อนพูดคือรูปแบบใหม่ของความรับผิดชอบทางปัญญา การเปลี่ยนเป้าของการวิจารณ์ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นเปลี่ยนจุดยืน จิตที่เติบโตจะไม่รีบตัดสินใครจากศัตรูที่เขาวิจารณ์ “โลกไม่ต้องการให้เราเชื่อเร็วขึ้น แต่ต้องการให้เราเห็นชัดขึ้น”

ทั้งนี้ ก่อนหน้าสุวินัยได้โพสต์ว่า จิตวิทยาการเมืองของการกลับใจ : บททดลองอธิบายจุดยืนที่เปลี่ยนไปของ สนธิ ลิ้มทองกุล

1. จุดหักเหของผู้เคย “ศรัทธา” โดยเอาธรรมนำหน้า

ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่สังคมไทยสั่นสะเทือนด้วยการเมืองสองขั้ว และสื่อเลือกข้าง ผู้คนจำนวนไม่น้อยเคยลุกขึ้นสู้ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ฝ่ายเราคือความถูกต้อง”

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองทศวรรษ เรากลับเห็นภาพแปลกประหลาดชนิดแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง...ผู้ที่เคยเป็นแกนนำของเหล่า "นักรบแห่งธรรม" กลับหันมาปรบมือให้ศัตรูเก่าอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างไม่เคอะเขิน

กรณี “สนธิ ลิ้มทองกุล” จึงมิใช่เรื่องเฉพาะบุคคลและไม่ใช่กรณีเดียวของ "ผู้กลับใจ" แต่มันคือกระจกสะท้อน “พลวัตทางจิตของคนการเมืองไทย” ที่หมุนวนในวงจรซ้ำๆ จากศรัทธา → เกลียดชัง → เหนื่อยล้า → เข้าใจ → ปลงตก และในบางกรณี…ก็กลายเป็นการ “กลับใจ” ชนิดพลิกขั้ว

2. เมื่อไฟแห่งอุดมการณ์แปรเป็นเถ้าถ่านของความเข้าใจ

จิตมนุษย์ไม่อาจเผาไหม้อยู่ในเปลวไฟแห่งความเชื่อไปได้ตลอดกาลหรอก สักวันไฟนั้นย่อมมอดลงเองในที่สุด และเมื่อไฟแห่งความเชื่อดับมอดลง เหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งประสบการณ์ที่เจ็บปวด-ผิดหวัง- ขมขื่น ความเกลียดชังที่เคยมีต่อฝ่ายตรงข้ามบางครั้งจึงกลับกลายเป็น "ความเห็นใจ" แบบแปลกประหลาด คือแลเห็นเขาเป็น “มนุษย์ที่ถูกกาลเวลาเผาไหม้” เฉกเช่นเดียวกับตนเอง ทั้งเขาและศัตรูของเขาล้วนถูก "กาลเวลา" (พระกาฬ=พระกาล) กลืนกินเหมือนกัน

ผมจึงมองว่าการกลับใจของคุณสนธิต่อเรื่องทักษิณ มิใช่การทรยศต่ออุดมการณ์ในอดีตของตนเอง แต่น่าจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าจิตของคุณสนธิเริ่มแก่ชราแล้ว
คือแก่พอจะเห็นว่า

“การตามจองล้างจองผลาญทักษิณเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน มันหมดความหมายไปมากแล้ว จงหันมาเกลียดตัวความชั่ว แทนคนที่ทำชั่วน่าจะดีกว่า”

แต่สิ่งที่แปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นตามมา หลังจากคุณสนธิเปล่งวาจาเลิกเกลียดทักษิณและกลับมาเห็นใจทักษิณแล้ว คุณสนธิกลับแสดงออกถึงความเกลียดชัง "ลุงตู่" แทน

ราวกับว่า เปลวไฟแห่งความเชื่อ (ในธรรม) เปลี่ยนไปเป็นเปลวไฟแห่งความเกลียดชังล้วนๆ แทน โดยที่เปลวไฟดวงต่อไปที่จะมาแทนเปลวไฟแห่งความเกลียดชังย่อมเป็นเปลวไฟแห่งความเหนื่อยล้าอย่างแน่นอน เพราะลุงตู่ท่านเป็นองคมนตรีที่อยู่เหนือความขัดแย้งไปแล้วนั่นเอง ขณะที่จิตของคุณสนธิยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของ "พลวัตทางจิตของคนการเมืองไทย" อยู่เลย

3. ความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์: โรคเรื้อรังของคนในยุทธภพทุกยุค

ขอให้เรามองให้ไกลกว่าเรื่องการกลับใจของคุณสนธิ โดยมองให้เห็นป่าทั้งป่า มองให้เห็นพลวัตแห่งอุดมการณ์ทั้งหลายที่อยู่ใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ ทุกยุคสมัยย่อมมี “นักรบทางความคิด” ของยุคตน พวกเขาจุดไฟเพื่อเผาเงามืดของสังคม แต่เมื่อไฟนั้นเผานานเกินไป ไฟนั้นมันย้อนมาเผาใจของผู้ถือคบเพลิงเองจนบังเกิดปรากฏการณ์ "ธาตุไฟแตก" นี่คือโรคเรื้อรังของชนชั้นนำทางความคิดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนฝ่ายซ้ายในยุคหลังโซเวียตล่มสลาย หรือผู้ศรัทธาในลัทธิ WOKE ยุคหลังโควิด พวกเขาต่างต้องเผชิญ "ความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์"

เมื่อพบว่าโลกจริงไม่เคยเดินตามอุดมคติที่ตนเชื่อมั่น “เราสู้เพื่อโลกที่ดีกว่า แต่โลกกลับสู้เพื่ออยู่รอดเฉยๆ” เมื่อความจริงเจ็บกว่าความเชื่อ มนุษย์ย่อมหวนกลับมาหา “ความจริงเชิงอารมณ์” แทน เช่น ความเมตตา ความสงสาร หรือแม้แต่ความเฉยชาต่อทุกฝ่าย ซึ่งในภาวะนี้เสียงของอัตตาเริ่มเงียบแต่ เสียงของปัญญายังไม่ดังพอ จึงเกิดภาวะกึ่งตื่นรู้-กึ่งสิ้นหวัง

4. การกลับใจ: ปรากฏการณ์ทางจิตในยุค Post-Ideology

กรณีการกลับใจของคุณสนธิ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของโลกหลังยุคอุดมการณ์ (post-ideological world) นี่ไม่ใช่โลกที่คนไม่มีอุดมการณ์ แต่คือโลกที่ทุกอุดมการณ์ล้วนถูกพิสูจน์แล้วว่า “ไม่สมบูรณ์” ต่างหาก มนุษย์ยุคนี้จึงเริ่มหันมาหา “อุดมคติส่วนตัว” แทน "อุดมการณ์ลอยๆ" เช่น ศรัทธาในความสุขส่วนตัว ศรัทธาในการอยู่รอด หรือศรัทธาในความสมถะ (พอเพียง)

สำหรับบางคน การกลับใจทางการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องของการยอมจำนน แต่เป็นการถอนรากออกจาก “ความหลงในโครงสร้าง” แล้วกลับมาอยู่ใน “ความจริงของชีวิต” ทว่า ถ้ามองลึกในเชิงจิตวิญญาณ นี่คือจุดที่มนุษย์เริ่มเดินจากเส้นทางนักรบเข้าสู่เส้นทางผู้สังเกตการณ์ (ผู้ดูจิต) จาก “ผู้พิพากษาโลก” กลายเป็น “ผู้ดูโลกอย่างรู้เท่าทัน”

5. วิถีแห่งการกลับใจแบบไร้รอย

ผมไม่แปลกใจเลย ถ้าได้เห็นการกลับใจของเหล่าเยาวชนชูสามนิ้ว เพราะมันคือ พลวัตของจิตวิทยาการเมือง แบบเดียวกับการกลับใจของคุณสนธินั่นแหละ แค่ต่างกันที่เนื้อหาของการกลับใจเท่านั้นเอง แต่ในกรณีของเยาวชนชูสามนิ้วที่กลับใจ เราควรมองว่าจิตของพวกเขามีวุฒิภาวะขึ้น มิใช่ จิตชรา แบบกรณีกลับใจของคุณสนธิในเชิง “ไร้รอย” การกลับใจมิได้หมายถึงการเปลี่ยนข้าง แต่คือการ “คลายแรงยึด” จากขั้วทั้งสอง ปล่อยให้จิตกลับคืนสู่ความนิ่งขึ้น กลางขึ้น เป็นมองเห็นทั้งฝ่ายผิด-ฝ่ายถูกโดยไม่ถูกดูดกลืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

น่าเสียดายที่พลวัตการกลับใจของคุณสนธิยังมาไม่ถึงจุดไร้รอยนี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ นี่คือบทเรียนที่สอนให้รู้ว่าพลังของความเกลียดชังยิ่งใหญ่ได้ก็จริง แต่พลังของ "ความว่าง" กลับทรงพลังยิ่งกว่า การกลับใจแบบไร้รอยจึงมิใช่จุดจบของการต่อสู้ แต่เป็นวิวัฒนาการของ “จิตนักรบ” สู่ “จิตโพธิสัตว์” ที่ยังเห็นทุกข์ของโลก แต่ไม่ตกอยู่ในกับดักของอารมณ์ทางการเมืองอีกต่อไป

ผู้ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์สุดโต่งย่อมมองผู้กลับใจว่า “ทรยศ” ผู้ที่ผ่านความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์แล้ว จะมองผู้สุดโต่งว่า “ยังเด็กอยู่” ส่วนผู้ที่บรรลุไร้รอย จะมองทั้งสองฝ่ายด้วยความเมตตาเท่าเทียมกัน “เมื่อไฟแห่งอุดมการณ์มอดลงอย่าดับเถ้าด้วยน้ำแห่งความเย้ยหยัน แต่จงเป่ามันด้วยลมหายใจแห่งปัญญา”
กำลังโหลดความคิดเห็น