xs
xsm
sm
md
lg

บุหรี่ไฟฟ้า: แบนต่อหรือปลดล็อกแบบมีเงื่อนไข?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “บุหรี่ไฟฟ้า” ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย ทั้งในด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และข้อกฎหมาย ประเด็นนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง เยาวชน ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ตลอดจนผู้กำหนดนโยบายของประเทศทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่ต่างมีการศึกษาและทำรายงานเพื่อเสนอรัฐบาลเพื่อกำหนดนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศไทยดังปรากฏเป็นข่าวเร็วๆ นี้

แม้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่เยาวชนและคนวัยทำงาน เนื่องจากมองว่าเป็นทางเลือกที่ “ปลอดภัยกว่า” บุหรี่แบบดั้งเดิม แต่ในปัจจุบันประเทศไทยยังคงจัดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายต่างจากอีก 91 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เกิดตลาดมืด การลักลอบนำเข้า และปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค ยิ่งไปกว่านั้น สถิติผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งที่มีการห้ามการนำเข้า และการขายในประเทศ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2564 พบผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน แต่ผลการสำรวจปี 2567 ชี้ว่ามีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11 เท่า หรือเป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านคน

การห้ามใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย แม้จะมีเจตนารมณ์เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและผู้ไม่สูบบุหรี่ แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่าการห้ามดังกล่าวไม่ได้หยุดยั้งการเข้าถึงของประชาชนแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นการผลักดันให้มีการใช้อย่างลับๆ โดยขาดการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ทราบถึงส่วนประกอบของน้ำยาหรือวิธีใช้ที่ถูกต้อง ทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น การได้รับสารเคมีอันตราย เช่น นิโคตินในปริมาณสูง หรือสารโลหะหนักที่ไม่ผ่านมาตรฐาน

กฎหมายที่มีในปัจจุบันเน้นย้ำเรื่องการห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย แต่ยังคงคลุมเครือสำหรับผู้ใช้งาน เปิดช่องให้เกิดการเลือกปฏิบัติ และในบางกรณีอาจเกิดการเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม อีกทั้งรัฐยังเสียโอกาสในการเก็บภาษีและควบคุมคุณภาพสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างเป็นระบบ ทำให้การขายบุหรี่ไฟฟ้าจมลึกเข้าไปในตลาดมืด เพิ่มการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย ปล่อยปละจนพบการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook หรือการส่งข้อความส่วนตัว เช่น แอปพลิเคชัน LINE โดยมีการโฆษณาถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ และสรรพคุณ ดึงดูดเยาวชนอย่างโจ่งแจ้ง ส่งผลให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพในระยะยาวเป็นไปได้ยากขึ้น

ประสบการณ์จากการผลักดันนโยบาย “ปลดล็อกกัญชา” ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยเน้นประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจเป็นหลัก นโยบายดังกล่าวเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้กัญชาได้ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนด เช่น การใช้เพื่อการแพทย์ การควบคุมปริมาณ และการให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมีข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวต่อเยาวชนและการใช้ในทางที่ผิด แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการสารเสพติดในประเทศ

จากบทเรียนดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณสุขต้องอาศัยความร่วมมือ ความคิดเห็นอย่างรอบด้านระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงการวางกรอบกฎหมายที่ชัดเจน การมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด และการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

การทำบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายจึงไม่ใช่การทำให้คนใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้นแต่จะช่วยให้รัฐควบคุมสินค้า ป้องกันเยาวชนเข้าถึง และสร้างรายได้จากภาษีเพื่อใช้ในโครงการส่งเสริมสุขภาพ เช่น รณรงค์เลิกบุหรี่ และรักษาผู้ป่วย โมเดลที่เสนอ ได้แก่ การออกใบอนุญาตร้านค้า การควบคุมคุณภาพสารเคมี การกำหนดอายุซื้อขั้นต่ำ 20 ปี และจัดเก็บภาษี เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ควรส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพในทุกช่องทาง พร้อมติดตามและประเมินผลนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงมาตรการให้ทันต่อสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค เพราะหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม อาจเกิดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว 

การวางกรอบนโยบายที่รัดกุม เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาต การตรวจสอบคุณภาพสินค้า การจำกัดอายุผู้ซื้อ การจัดเก็บภาษี และการให้ความรู้แก่ประชาชน ควบคู่กับการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทย การเปิดพื้นที่ให้มีการวิจัยและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพในระยะยาว ก็จะช่วยให้ภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายได้อย่างแม่นยำและตรงจุดมากขึ้น

ในปีนี้จะมีการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ครั้งที่ 11 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลน่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยประเทศไทยน่าจะมีผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนจากสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมประชุมดังกล่าว เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองกับนานาประเทศ ทั้งประเทศที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมายและประเทศที่ยังคงห้ามบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อถอดบทเรียนและนำข้อมูลกลับมาประกอบการกำหนดทิศทางนโยบายในอนาคต 

สุดท้ายนี้ การจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าควรตั้งอยู่บนหลักของความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพของประชาชน การคุ้มครองเยาวชน และการบริหารจัดการสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน



กำลังโหลดความคิดเห็น