วุฒิสภาอภิปรายรายงานกรรมาธิการ สธ. ศึกษาการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ที่เสนอให้ประเทศไทยคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด หรือ Total Ban สว.เสียงแตก โดยระบุการแบนย้อนแย้งความจริง ข้ออ้างบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงกว่าบุหรี่มวนแต่บุหรี่มวนกลับถูกกฎหมายและอยู่ภายใต้ระบบภาษี ชี้การแบนไม่อาจเป็นทางออกของปัญหาที่ยั่งยืนได้ซ้ำดันตลาดออนไลน์โต
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 ในการประชุมวุฒิสภา คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา นำเสนอรายงาน “สถานการณ์และปัญหาการบริโภคผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า” โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายให้คงมาตรการห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด Total Ban เพื่อปกป้อง คุ้มครอง สุขภาพของประชากรไทย ภายหลังการนำเสนอรายงาน มีสมาชิกวุฒิสภาลุกขึ้นอภิปรายเพื่อนำเสนอข้อมูล และตั้งประเด็นคำถามต่อรายงานฉบับนี้
นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภาจากกลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม อภิปรายเห็นด้วยและขอบคุณคณะกรรมาธิการเบื้องหลังรายงานฉบับนี้ที่ต้องการจะปกป้องสังคมไทย อย่างไรก็ตาม นายเทวฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การห้ามอย่างเด็ดขาดมีความย้อนแย้งกับความเป็นจริง ขณะที่เรากังวลว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงมากกว่าบุหรี่มวนถึง 3 เท่า แต่บุหรี่มวนเองก็ยังคงถูกกฎหมายและอยู่ภายใต้ระบบภาษีที่รัฐเก็บเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมด้านสาธารณสุข บุหรี่ไฟฟ้าถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ลดความเสี่ยงจากการสูบบุหรี่มวน จึงควรนำไปพิจารณาด้วย
หากนำมาตรการ Total Ban มาใช้ รัฐจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพหรือสารประกอบที่อยู่ภายในได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงคือเยาวชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางยังคงเข้าถึงได้แต่เรากลับขาดกลไกควบคุม เพราะฉะนั้นมาตรการที่น่าจะพิจารณาคือการควบคุมผ่านระบบภาษี การกำหนดมาตรฐานสารอันตราย และการจำกัดพื้นที่การใช้งานมากกว่าการห้ามโดยเด็ดขาด ซึ่งประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของต่างประเทศได้
นายเทวฤทธิ์ ยกตัวอย่างกรณีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในต่างประเทศว่า “ในต่างประเทศมีตัวอย่างที่น่าสนใจ อาทิ สหรัฐอเมริกามีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าในหลายรูปแบบ บางรัฐเก็บตามราคาขายส่ง บางรัฐเก็บตามปริมาณสินค้าหรือจำนวนตลับ สหราชอาณาจักรกำหนดเพดานความเข้มข้นของนิโคติน ควบคุมการโฆษณา และห้ามจำหน่ายแก่ผู้เยาว์ นิวซีแลนด์เคยปรับกฎหมายจนทำให้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 2–5 เท่า แต่ก็ยังคงใช้มาตรการจำกัดกลิ่น การโฆษณา และพื้นที่การใช้ ส่วนสหภาพยุโรปก็กำหนดเพดานนิโคตินและควบคุมการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวด โดยจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นเพราะผู้สูบบุหรี่มวนเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพอาจไม่เลวร้ายเท่าที่กังวล”
นายเทวฤทธิ์ ทิ้งท้ายว่า “การแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเบ็ดเสร็จอาจไม่ใช่คำตอบเดียว เราควรพิจารณามาตรการผสมผสาน ทั้งการกำหนดมาตรฐานสารอันตราย การใช้ภาษีเพื่อควบคุม การจำกัดพื้นที่การใช้ และการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม เพื่อให้ทั้งผู้สูบและคนรอบข้างปลอดภัยจากผลกระทบให้ได้มากที่สุด และการอภิปรายครั้งนี้จะช่วยเปิดมุมมอง หาจุดที่เหมาะสมเพื่อกำหนดกติกาที่เหมาะสมเพื่อปกป้องสุขภาวะของสังคมอย่างยั่งยืน”
ด้านนายชวภณ วัธนเวคิน สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดตราด กล่าวว่าตนเห็นด้วยกับรายงานของกมธ. เพราะปัญหาการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนเป็นเรื่องที่น่าห่วงจริง ๆ และขอเป็นตัวแทนผู้สูบบุหรี่ที่อยากเลิกบุหรี่โดยใช้บุหรี่ไฟฟ้า เพราะบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีการเผาไหม้ ไม่ก่อให้เกิดควันพิษ จึงควรถูกพิจารณาใช้เป็นเครื่องมือลดอันตรายสำหรับผู้สูบบุหรี่ที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ให้มีทางเลือกที่เสี่ยงน้อยลงกับทั้งตนเอง และคนรอบข้าง นอกจากนี้ ข้อมูลจากสหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าการบำบัดด้วยนิโคตินทดแทนชนิดอื่น
นายชวภณ กล่าวว่า “การห้ามเลย ตัดขาด จะทำให้เกิดการแอบซ่อนในรูปแบบต่าง ๆ การนำขึ้นมาควบคุมด้วยกฎหมาย มีกฎเกณฑ์อย่างถูกต้อง จำกัดในสิ่งที่ควรจำกัด อาจก่อเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ โดยสามารถกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อ ควบคุมปริมาณนิโคตินและคุณภาพสินค้า การห้ามโฆษณา และสามารถจัดเก็บภาษีได้ การปกป้องเด็กและเยาวชนคือเรื่องใหญ่ แต่การห้ามขาดไม่ช่วยอะไร เพราะทุกวันนี้เรายังเห็นข่าวการจับกุมร้านบุหรี่ไฟฟ้าที่มีเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชนเรื่อย ๆ”
นายชวภณ เสริมว่า “การอภิปรายครั้งนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่เป็นการมองปัญหาด้วยความเป็นจริง เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่ทุกมุมของสังคมไทย ทางเลือกที่ดีกว่าคือการเปิดพื้นที่ให้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กำกับดูแลคุณภาพ ป้องกันเยาวชน และใช้เป็นเครื่องมือลดจำนวนผู้สูบบุหรี่มวนที่อันตรายต่อสุขภาพมากกว่า ควรมีการศึกษาเชิงลึกเพื่อกำหนดนโยบายประเทศ มากกว่าการยึดติดกับการห้ามแบบเบ็ดเสร็จที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผลในหลายๆ เรื่อง ควรเลือกแนวทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับสุขภาพสาธารณะ และสอดคล้องกับแนวโน้มความเป็นไปของโลก”
ในช่วงท้ายของการอภิปราย นายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สมาชิกวุฒิสภาซึ่งทำงานต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้ามาโดยตลอด ได้ยกตัวอย่างช่องทางการขายบุหรี่ไฟฟ้าบนแทบทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมบริการขนส่ง ส่งด่วนถึงหน้าบ้าน ทำให้เยาวชนเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแม้จะเห็นด้วยกับมาตรการ Total Ban แต่ก็อยากฝากประเด็นปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบันว่ายังมีช่องโหว่มาก ทำให้การค้าบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว ไร้การควบคุม