xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตำนาน "จูงเสือ" กลางกรุงฯ เผยนาทีระทึก! ผู้เชี่ยวชาญเข้าสยบเสือโคร่งไซบีเรียดุ ย่านจรัญฯ ด้วยมือเปล่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หมอหนึ่งย้อนอดีตระทึก! ภารกิจ "จูงเสือ" ไซบีเรียดุร้ายกลางกรุงฯ เผยเคล็ดลับสยบพยศด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ หลังเสือทำร้ายคนเจ็บสาหัส

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เผด็จ ศิริดำรง“ หรือ “หมอหนึ่ง” สัตวแพทย์ ประจำ โรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน และมีบทบาทในการดูแลสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทย ออกมาโพสต์ข้อความ เล่าเหตุการณ์ระทึกในอดีต โดย ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2540 เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นในบ้านหลังหนึ่งย่านจรัญสนิทวงศ์ เมื่อเสือโคร่งไซบีเรียที่เจ้าของเลี้ยงไว้หลังบ้านเกิดอาการดุร้ายและเข้าทำร้ายหัวหน้าพ่อบ้านจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกกัดและต้องเข้าเฝือกที่แขน สร้างความหวาดวิตกให้กับเจ้าของเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความปลอดภัยของบุตรชายผู้ชื่นชอบสัตว์ป่าเช่นกัน

จากเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าของบ้านได้ตัดสินใจติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าจากพัทยา เพื่อขอความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายเสือโคร่งตัวดังกล่าวไปไว้ที่สวนสัตว์ โดยร้องขอให้เตรียมอุปกรณ์ครบชุด ทั้งยาสลบ ปืนยิงยา และกรงขนย้าย เนื่องจากเสือโคร่งตัวนี้มีนิสัยที่ไม่เชื่องและควบคุมได้ยาก

ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยทีมงานอีก 2 คน ได้เดินทางจากพัทยามายังบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึง แทนที่จะเริ่มกระบวนการยิงยาสลบทันที เขาและ "ศร" ผู้เป็นเพื่อนร่วมทีม ได้ขอเข้าไปประเมินสถานการณ์และทำความรู้จักกับเสือโคร่งตัวดังกล่าวก่อน เพื่อตรวจสอบสุขภาพ อารมณ์ และนิสัยใจคอ

หลังจากการประเมินอย่างใกล้ชิด ผู้เชี่ยวชาญและศรก็มองหน้ากันและตัดสินใจเลือกใช้วิธีที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือการ "จูง" เสือโคร่งออกมา แทนการใช้ยาสลบ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์เกิดความเครียดหรือตื่นตระหนก

"ผมบอกให้ทุกคนในบ้านหลบไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน" ผู้เชี่ยวชาญเล่าถึงนาทีสำคัญ "จากนั้นศรก็เดินเข้าไปในกรง ทักทายเสือจนมันคุ้นเคย แล้วค่อยๆ สวมปลอกคอให้มัน ส่วนผมคอยประกบระวังภัยอยู่ข้างๆ"

สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ เสือโคร่งที่เคยดุร้ายกลับเดินตามทั้งสองออกมาแต่โดยดี เข้าไปในกรงขนย้ายบนรถอย่างง่ายดาย ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ หลายคนต่างสงสัยว่าพวกเขา "มีของดี" อะไรจึงสามารถควบคุมเสือร้ายได้

ผู้เชี่ยวชาญได้เปิดเผยเคล็ดลับว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์ แต่เป็นความเข้าใจในพฤติกรรมสัตว์อย่างลึกซึ้ง

"หลักพื้นฐานง่ายๆ คือ เราต้องทำให้เสือคิดว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่เหยื่อ" เขาอธิบาย "เราต้องไม่แสดงอาการตื่นกลัว ทำตัวสบายๆ ใช้เสียงครางต่ำๆ ในลำคอเพื่อทักทาย เหมือนที่เสือทักทายกัน ประกอบกับตัวผมและศรทำงานคลุกคลีกับสัตว์พวกนี้อยู่แล้ว จึงมีกลิ่นสาปเสือติดตัว ทำให้มันไม่มองเราเป็นภัย"

เขาเน้นย้ำว่า เสือตัวนี้เป็นเสือเลี้ยง ไม่ใช่เสือจากป่า เมื่อได้สัมผัสและรู้อารมณ์ของมันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง การเรียนรู้เรื่องพฤติกรรมสัตว์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

หลังจากภารกิจขนย้ายเสือโคร่งสำเร็จลุล่วง ความสัมพันธ์ระหว่างทีมผู้เชี่ยวชาญและเจ้าของบ้านยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี จนถึงปี พ.ศ. 2549 บ้านหลังดังกล่าวซึ่งเปรียบเสมือน "มินิซู" ย่อมๆ ยังคงเรียกใช้บริการให้มาช่วยเหลือจัดการสัตว์ป่าอื่นๆ อยู่เสมอ เช่น อีเห็นที่ดุร้าย หรือแรคคูน ซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องวางยาสลบเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาอาจเกิดจากการที่ผู้ดูแลขาดทักษะและความเข้าใจในพฤติกรรมสัตว์ป่า

ในปี พ.ศ. 2549 เจ้าของบ้านมีความจำเป็นต้องย้ายไปพำนักที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน ภรรยาซึ่งยังอยู่เมืองไทยเกรงว่าจะดูแลสัตว์ป่าดุร้ายไม่ไหว จึงได้ติดต่อให้ผู้เชี่ยวชาญมาขนย้ายสัตว์ป่าทั้งหมดไปไว้ที่สวนสัตว์ เหลือไว้เพียงสัตว์ที่ไม่เป็นอันตราย เช่น นกมาคอว์ เต่า และลิงมาโมเซต นับเป็นการปิดฉาก "มินิซู" ในบ้านพักย่านจรัญสนิทวงศ์แห่งนี้ลงอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นแห่คอมเมนต์คาดเดาถึงเจ้าของบ้านและเสือตัวดังกล่าวว่าเจ้าของเป็นนักการเมืองดังรายหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น