กองทัพไทยจัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่เรียบง่าย งดพิธีสวนสนามห้วงไว้อาลัยทหาร-ปชช.เสียชีวิตจากเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา ขณะที่ ทอ.ส่ง Gripen 1 เครื่องอำลา งดสวนสนามทางอากาศ ลดผลกระทบประชาชน ด้าน ผบ.ทอ.คนใหม่ ลั่นสานต่อภารกิจ
วันนี้ (30 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพไทย จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ และการบังคับบัญชา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เกษียณอายุราชการในปีนี้ และจะส่งมอบหน้าที่ให้กับพลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 เป็นต้นไป
โดยการจัดงานพิธีวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ซึ่งได้งดพิธีสวนสนาม และการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ เพราะว่า ยังอยู่ในห้วงเวลาของการไว้อาลัย จากเหตุการณ์การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งภายในงานมีการนำรูปของทหาร 16 นาย และประชาชน 14 คน ที่เสียชีวิต จากการปะทะตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ 24 - 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา มาติดตั้ง
พลเอก ทรงวิทย์ กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมา ทุกเหล่าทัพมีความเป็นหนึ่งในการปกป้องอธิปไตยและแก้ไขปัญหาของประเทศ เรียกได้ว่า เป็น “ONE TEAM”
สำหรับผู้บัญชาการทหารคนใหม่เป็นคนที่มีความรู้เพียบพร้อม มีวิสัยทัศน์ มีอุดมการความเป็นทหารอาชีพ ตนมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะสามารถนำกองทัพไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างาม และภาคภูมิสืบต่อไป
พลเอก อุกฤษฎ์ กล่าวรับตำแหน่งว่า ตน และผู้ใต้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น ขอให้คำมั่นว่า จะร่วมการปฎิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบสูงสุด อย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งสานต่อนโยบายของผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนเก่าให้มีความต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และเป็นหลักด้านความมั่นคงของชาติ เป็นที่พึ่งของประชาชน โดยยึดถือปณิธานกองทัพไทย เพื่อราชอาณาจักรไทย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นยศคือ คนสำคัญ สู่กองทัพการปฎิบัติการร่วมที่ทันสมัยบรรลุทุกภารกิจ และความท้าทาย
ทั้งนี้ พลเอก ทรงวิทย์ ได้กล่าวแสดงมุทิตาจิต แด่ผู้มีพระคุณต่อกองทัพไทย อาทิ ทหารผ่านศึก และทหารที่ได้รับการบาดเจ็บจากการปะทะ ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา และกล่าวขอบคุณมิตรประเทศที่ให้ความร่วมมืออย่างจริงใจ ในการทำงานร่วมกันมา โดยเฉพาะทูตทหาร ที่ได้ทำงานร่วมกันมา ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และกองทัพกับกองทัพ
นอกจากนี้ พลเอก ทรงวิทย์ ยังกล่าว ขอบคุณบุคคลจากหลายหน่วยงานที่ส่วนร่วมในการทำงาน อาทิ แม่บ้าน, แม่ครัว, พลทหาร, ผู้มีส่วนร่วมในการบริจาคแอนตี้ โดรน, ผู้มีส่วนร่วมในภารกิจแผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมา, ผู้มีส่วนร่วมในภารกิจอุทกภัย อ.แม่สาย, จิตอาสา, โฆษก และรองโฆษกของกองบัญชาการกองทัพไทย และขอบคุณสื่อมวลชนสายทหาร
ท้ายนี้ พลเอก ทรงวิทย์ ได้กล่าวทั้งน้ำตา เล่าถึงภารกิจสุดท้ายว่า เช้าวันนี้ตนได้พบกับครอบครัวทหารผู้เสียชีวิตจำนวน 15 ครอบครัว พร้อมจับมือญาติแล้วบอกว่า เราไม่มีอะไรทดแทนได้ นอกจากกอด และดูแลครอบครัว จากนั้นก็ได้เล่าถึงการเหตุการณ์การสู้รบตั้งแต่วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม ผ่าน 3 สมรภูมิ โดยเฉพาะสมรภูมิภูมะเขือ ที่ระบุว่า รู้สึกมีกำลังใจที่เห็นธงชาติไทยปักบนยอดภูมะเขือ และได้แสดงของที่ระลึกเป็นภาพธงชาติบนภูมะเขือ ที่มีกรอบรูปทำจากกล่องกระสุนในสมรภูมิดังกล่าว ซึ่งในวันที่เห็นธงชาติไทยบนยอดภูมะเขือ เป็นวันที่ทำให้ตนเองมีกำลังใจ และมั่นใจว่า “เราชนะแน่”
พร้อมอธิบายการสู้รบครั้งนี้ ไม่เหมือนกับปี 2554 ซึ่งตนจะหาโอกาสเขียนหนังสือเรื่องนี้ ถึงเหตุผลว่า ทำไมไม่เหมือนปี 2554 ด้วย และช่วงพิธีปิด ทุกคนในห้องประชุมได้ลุกขึ้นปรบมือให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด และมีการเปิดเพลงแสงสุดท้าย ของตูน บอดี้สแลม ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงประทับใจของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานรับ- ส่ง หน้าที่ครั้งนี้ พล.อ. ทรงวิทย์ ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจในการรักษา อธิปไตยไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงญาติทหารผู้เสียชีวิตทั้ง 15 นาย ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศเข้าร่วมงาน พร้อมกล่าวเปิดใจและเปิดเผยประสบการณ์ ในช่วงที่มีการปะทะในพื้นที่ชายแดน ความชื่นชมการปฏิบัติหน้าทีของทหารพรานและตำรวจตะเวนชายแดน ที่รักษาแนวอย่างเข้มแข็ง ตั้งแต่มีการปะทะ
ในช่วงบ่ายมีพิธีรับมอบหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศระหว่าง พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ซึ่งเกษียณอายุราชการ กับ พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่)
โดยกองทัพอากาศได้จัดกำลังพลสวนสนามเพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 4 กองพันนอกจากนี้ยังจัดอากาศยานเครื่องบินGRIPENจำนวน 1 เครื่อง จากฝูงบิน 701กองบิน 7 ของกองทัพอากาศ ทำการบินผ่านพิธี จำนวน 2 ห้วง โดยห้วงแรกทำการบินผ่านในช่วงพิธีส่งธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และห้วงที่สองทำการบินผ่านในช่วงผู้บัญชาการทหารใหม่ขึ้นแท่นรับการเคารพ โดยในปีนี้ได้งดพิธีสวนสนามทางอากาศ เนื่องจากกองทัพอากาศตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการห้วงอากาศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการเดินทางของพี่น้องประชาชนในห้วงเวลาดังกล่าว
จึงได้ประสานหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง เพื่อหารือเกียวกับแผนการบินและการใช้ห้วงอากาศ โดยได้พิจารณาปรับห้วงเวลาการบินให้กระชับ รวดเร็ว และลดผลกระทบต่อเที่ยวบินพาณิชย์และการเดินทางของประชาชนให้น้อยที่สุด
นอกจากนี้ กองทัพอากาศยังได้จัดพิธีสวนสนามเทิดเกียรติให้แก่ผู้เกษียณอายุราชการตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง นายทหารชั้นสัญญาบัตร นายทหารชั้นประทวน จนถึงลูกจ้างประจำของกองทัพอากาศ ร่วมกับพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศในครั้งนี้ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ยกย่อง และเชิดชูแก่ข้าราชการทุกท่านที่เกษียณอายุราชการ ที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการเพื่อกองทัพอากาศจนครบวาระอายุราชการ ในปีพุทธศักราช 2568 นี้
พลอากาศเอก พันธ์ภักดี กล่าวว่า ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งได้น้อมนำพระราชดำรัสของของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการดูแลกำลังพล และนโยบายขับเคลื่อนกองทัพอากาศ ภายใต้วิสัยทัศน์กองทัพอากาศที่แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพ โดยได้มุ่งมั่นพัฒนาในทุกมิติ นอกจากนี้ยังคงยืนหยัดในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติอย่างทันท่วงที และเต็มกำลังความสามารถ รวมถึงเหตุการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา กองทัพอากาศก็ได้ปฏิบัติภารกิจด้วยความเข้มแข็ง รอบคอบ และระมัดระวังเพื่อปกป้องอธิปไตย พร้อมทั้งยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งทุกภารกิจของกองทัพอากาศที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติด้วยความเสียสละ และจิตสำนึกในหน้าที่เพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน และเกียรติภูมิของชาติ
ด้านพลอากาศเอก เสกสรร ให้คำมั่นจะสืบสาน และดำรงเจตนารมย์ ของพลอากาศเอก พันธ์ภักดี ในการนำกำลังพลร่วมปฎิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เพื่อรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของกองทัพอากาศ และพัฒนากองทัพอากาศให้ทันสมัยแข็งแกร่งควบคู่กับการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้เกิดกับประชาชน และประเทศชาติสืบไป
ในโอกาสนี้ กองทัพอากาศได้จัดกำลังพลสวนสนามเพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 4 กองพัน ประกอบด้วย กองพันที่ 1 จัดกำลังพลจาก กรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศ
นวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันที่ 2 จัดกำลังพลจาก กองนักเรียน โรงเรียนจ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ, กองพันที่ 3 จัดกำลังพลจาก กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน และกองพันที่ 4 จัดกำลังพลจาก กรมทหารต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน