คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “หลักนิติธรรมกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของสังคมและยกระดับกระบวนการยุติธรรมไทยให้โปร่งใส เที่ยงธรรม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อันเป็นฐานรากสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งมิติเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยได้รับเกียรติจาก อาจารย์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ และ นายบัญชา เขียวต่าย เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวต้อนรับและเปิดงาน ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อาจารย์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวเปิดงานเสวนา “หลักนิติธรรมกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย” โดยระบุว่า หัวข้อดังกล่าวมีความสำคัญและสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน โดยสะท้อนความกังวลของสังคมที่กำลังจับตามองว่าคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาลจะสะท้อนถึงการยืนหยัดบนหลักนิติธรรมของกระบวนการยุติธรรมไทยหรือไม่ พร้อมขอบคุณ ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ อดีตเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสถาบัน ผู้ริเริ่มแนวคิดความร่วมมือ อีกทั้งขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในวันนี้
อาจารย์ ดร.สุทธิพล กล่าวว่า “หลักนิติธรรม” คือหัวใจสำคัญของสังคมประชาธิปไตย โดยทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ยุติธรรม โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติ กฎหมายต้องอยู่เหนือบุคคล ไม่ว่าผู้มีอำนาจ นักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หากกฎหมายถูกใช้อย่างไม่เสมอภาค ความศรัทธาของประชาชนจะสั่นคลอน และอาจนำไปสู่ความอยุติธรรมในสังคม ขณะที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ หรือแม้กระทั่งชีวิต หากปราศจากหลักนิติธรรม กระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การลงโทษที่ไม่เป็นธรรมได้
“กระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1.ความล่าช้าในการพิจารณาคดี ที่สะท้อนถึงคำกล่าวว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือการปฏิเสธความยุติธรรม” 2.ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ผู้ที่มีฐานะหรือมีนักกฎหมายเก่งย่อมได้เปรียบผู้ยากจน 3.การปรับตัวไม่ทันกับอาชญากรรมยุคดิจิทัล เช่น อาชญากรรมไซเบอร์ การฟอกเงินข้ามชาติ และการฉ้อโกงออนไลน์ และ 4.ความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพของบุคคลกับความสงบเรียบร้อยของสังคม” คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ กล่าว
ในช่วงท้าย คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU ได้ฝากข้อคิดถึงนักศึกษานิติศาสตร์และคนรุ่นใหม่ว่า การเรียนกฎหมายไม่ใช่เพียงการท่องจำตัวบท แต่คือการเรียนรู้เพื่อค้นหาความยุติธรรมที่แท้จริง และไม่ว่าจะทำงานในตำแหน่งใดในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้อง และหวังว่าการเสวนาครั้งนี้นอกจากจะเสริมสร้างองค์ความรู้แล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกฝ่ายร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยให้เป็นกลไกที่สร้างความเชื่อมั่นแก่สังคมได้อย่างแท้จริง
ด้านนายบัญชา เขียวต่าย เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า หลักนิติธรรมเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การใช้อำนาจรัฐโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันความไว้วางใจของประชาชนต่อวงการยุติธรรม แต่ในทางปฏิบัติของไทยยังเผชิญความท้าทายหลายประการที่สะท้อนว่า “กระบวนการยังไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมเท่าที่ควร”
นายบัญชา ระบุว่า ปัญหาหลักพบได้ตลอดสายพานคดีอาญา ตั้งแต่ขั้นจับกุม–ควบคุมตัว–ออกหมายจับ ไปจนถึงการตีความและการบังคับใช้กฎหมายที่ “ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน” ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียม นอกจากนี้การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานยังไม่ทั่วถึง เช่น สิทธิในการมีทนาย สิทธิยื่นขอปล่อยชั่วคราว และสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม ขณะที่ภาวะผู้ต้องหาจำนวนมากถูกคุมขังก่อนพิพากษา (pre-trial detention) ทำให้สูญเสียโอกาสทางอาชีพ การศึกษา และกระทบต่อครอบครัว–สังคมในวงกว้าง ซึ่งท้ายที่สุด “บั่นทอนความเชื่อมั่นและความร่วมมือของสาธารณชนต่อการบังคับใช้กฎหมาย”
เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ ย้ำว่า หลักนิติธรรม (Rule of Law) ไม่ใช่เรื่องของนักกฎหมายเท่านั้น หากเป็น “หัวใจของสังคมสมัยใหม่” ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ไปจนถึงชีวิตประจำวันของประชาชน “ยิ่งระบบยุติธรรมอาญายึดหลักนิติธรรมได้มากเท่าใด ความเชื่อมั่นต่อรัฐและกติกาสังคมก็จะยิ่งเข้มแข็ง”
นอกจากนี้นายบัญชา ยังหยิบยกข้อมูลจากดัชนีหลักนิติธรรมของโลก (World Justice Project: WJP) ชี้ให้เห็นว่าไทยยังอยู่ใน “อันดับช่วงกลาง” โดยมิติที่ได้คะแนนต่ำที่สุดคือ “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” สะท้อนโจทย์เชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด จึงทำหน้าที่ “ศูนย์กลางวิชาการด้านหลักนิติธรรม” ผ่านการทำบันทึกความร่วมมือทางวิชาการกับภาคีเครือข่าย อาทิ คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ รวมถึงคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อร่วมกันสังเคราะห์องค์ความรู้ วิเคราะห์ปัญหา ออกแบบข้อเสนอเชิงนโยบาย และผลักดันการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอาญาในระยะยาว
ขณะที่บรรยากาศเวทีเสวนาได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลากมิติของกระบวนการยุติธรรมร่วมแลกเปลี่ยน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ดร.สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1, นายสุวิทย์ ชูตระกูล อัยการอาวุโส อดีตอธิบดีอัยการภาค 7, นายคณิต วัลยะเพชร์ ประธานกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองศาสตราจารย์อัจฉรียา ชูตินันทน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ โดยมีนายวิพล กิติทัศนาสรชัย อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ
การเสวนาวิชาการหัวข้อ “หลักนิติธรรมกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย” ได้สะท้อนภาพรวมของกระบวนการยุติธรรมไทยในหลายมิติ โดยเน้นประเด็นสำคัญที่ยังเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการดำเนินคดี ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิ และการละเมิดสิทธิของประชาชน ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีฐานะมักมีโอกาสต่อสู้คดีมากกว่า สามารถจ้างทนายความที่มีความเชี่ยวชาญและมีทุนทรัพย์ในการประกันตัว ขณะที่ผู้ยากไร้กลับถูกจำกัดสิทธิ ต้องพึ่งพาทนายหรือถูกจำคุกระหว่างพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงความไม่เสมอภาคในทางปฏิบัติและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมเสวนายังชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการบังคับใช้กฎหมายไทยที่ยังคงมุ่งเน้นเพียงการยึดถือ “ตัวบทกฎหมาย” โดยละเลยเจตนารมณ์และหลักการที่อยู่เบื้องหลัง ส่งผลให้บางมาตราหรือการตีความไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิมนุษยชน ตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือความผิดเกี่ยวกับเพศ ซึ่งกฎหมายไทยยังใช้หลักการอิงการบังคับหรือการใช้กำลัง ต่างจากมาตรฐานสากลที่เน้นความยินยอมเป็นหลัก หรือกรณีการตีความอายุความรับผิดทางอาญาของเด็กที่ยังขาดความชัดเจนและไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ปัญหาเหล่านี้ทำให้การพิจารณาคดีในบางกรณีไม่สะท้อนถึงความเป็นธรรมที่แท้จริงและอาจส่งผลต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เกี่ยวข้อง
ในช่วงท้าย ผู้ร่วมเสวนาเสนอแนวทางปฏิรูปโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเน้นให้มีการเสริมบทบาทของอัยการตั้งแต่ชั้นสอบสวนเพื่อเพิ่มความรัดกุมของคดี ลดปัญหาความล่าช้า และกำหนดมาตรฐานการสั่งฟ้องที่เข้มงวดและชัดเจนมากขึ้น ควบคู่กับการสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้อำนาจโดยพลการ อีกทั้งยังเสนอให้พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนให้เน้นการฟื้นฟูและคืนคนดีสู่สังคมมากกว่าการลงโทษอย่างเข้มงวด โดยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับการรักษาความมั่นคง และนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส เท่าเทียม และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล