สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ตระหนักถึงศักยภาพของน้ำตาล Low GI ไม่เพียงแต่ในด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ตามแนวทางของ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของอุตสาหกรรมชีวภาพไว้ที่ร้อยละ 10 ภายในปี 2570 และมูลค่าการลงทุนสะสมกว่า 190,000 ล้านบาท
ประเทศไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งหากสามารถต่อยอดและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น น้ำตาล Low GI, เวชสำอาง, สารสกัดชีวภาพ หรือพลังงานชีวภาพ จะส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ลดการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบในรูปแบบเดิม และเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตน้ำตาลเป็นอันดับ 3 ของโลก มีศักยภาพอย่างยิ่งในการต่อยอดองค์ความรู้ด้านน้ำตาล Low GI สู่การพัฒนาในระดับอุตสาหกรรม ไม่เพียงเพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชน แต่ยังสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำตาลไทยให้ก้าวสู่ตลาดโลกในฐานะ “น้ำตาลเพื่อสุขภาพ” ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้ง เดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพ
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของประเทศไทยผ่านการพัฒนา “น้ำตาลที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI)” ซึ่งเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาบริโภคผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ซึ่งได้มีการจำหน่ายน้ำตาล Low GI อย่างแพร่หลายแล้ว
สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้ดำเนินการพัฒนาครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ได้ดำเนินการยื่นขอรับรองจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์น้ำตาล Low GI เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยมีการจัดทำคู่มือ Laboratory Quality Manual และ Work Instruction เตรียมความพร้อมขอการรับรองมาตรฐานในระดับสากลรวมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านเทคนิค โดยจัดฝึกอบรมเชิงลึกร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในหัวข้อการวิเคราะห์น้ำตาล Low GI เช่น การตรวจวัดพอลิฟีนอล การวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และค่าการดูดซึมน้ำตาลในรูปแบบหลอดทดลอง
อีกทั้งส่งเสริมการพัฒนาโรงงานน้ำตาลต้นแบบ โดยคัดเลือกโรงงานน้ำตาล 3 แห่งจากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เพื่อเข้าร่วมโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำตาล Low GI และประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ภาคเอกชน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับบุคลากรในโรงงานน้ำตาล เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่ และยกระดับผู้ประกอบการ การพัฒนาน้ำตาล Low GI ยังเป็นโอกาสในการต่อยอดสำหรับผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ที่ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ยังเตรียมผลักดันการตั้งหน่วยรับรองมาตรฐานในประเทศ เพื่อลดภาระต้นทุนจากการส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบในต่างประเทศ และช่วยลดราคาจำหน่ายให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น สู่อนาคตอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่ยั่งยืน
"จากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของ สอน.ในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และบุคลากรด้านน้ำตาล Low GI ทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในการผลิตน้ำตาลเพื่อสุขภาพในภูมิภาค สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบชีวภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยและการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมชีวภาพในอนาคต" นายใบน้อยกล่าวทิ้งท้าย