เฟกนิวส์พุ่งเป้าทุบหุ้น-ทำลายผู้บริหาร ปตท.ชุดปัจจบัน เบื้องหลังคือแก๊งอดีตนักการเมืองและอดีตผู้บริหาร ปตท.ขาใหญ่ที่เคยครอบงำองค์กรมานาน มีชนักติดหลังจากคดีสวาปาล์มอินโดฯ กว่า 2 หมื่นล้านบาท และสต๊อกลม GGC กว่า 2 พันล้านที่กำลังถูกตรวจสอบ ถึงตอนนี้คดีงวดเข้ามาทุกขณะ ใกล้คุกเข้าไปเรื่อยๆ ผลประโยชน์ที่เคยได้รับก็ถูกบั่นทอน จึงพยายามทำทั้งใต้ดิน-บนดินเพื่อตอบโต้
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นข้อความและภาพกราฟิก แชร์ต่อๆ ในแอปพลิเคชัน LINE ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของกลุ่ม ปตท.ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะข้อมูลอันเป็นเท็จนี้จั่วหัวให้เร้าใจว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้บริหาร ปตท.เข้าข่ายทุจริต ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ, ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวก็อาจจะมีคำถามสงสัยว่าเรื่องนี้จริง หรือเท็จ?
“แต่หากใครติดตามข่าวอยู่แล้ว หรือฟังจากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิที่ผมเคยนำเสนอเรื่อง “แก๊งสวาปาล์ม” กระชากหน้ากากขบวนการทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ที่ไปแล้วหลายต่อหลายตอนในช่วงปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา
[โคตรอภิมหาทุจริต! กระชากหน้ากากขบวนการ “สวาปา(ล์)ม ปตท.” ปล้นประชาชน],[กระชากหน้ากากแก๊งสวาปา(ล์)ม ปตท. อดีตผู้บริหาร-คนในรวมหัวเครือข่ายนักการเมือง] โดยความโลภ และการกระทำของคนกลุ่มนี้ก่อความเสียหายให้กับ ปตท.มูลค่ามหาศาลเป็นประวัติการณ์กว่า 2 หมื่นล้านบาท ย่อมวิเคราะห์ฟันธงลงไปได้เลยว่า นี่เป็น “ข่าวปั่น” โดยมีเป้าหมายทำลายชื่อเสียงของผู้บริหาร ปตท.ชุดปัจจุบัน”
เนื้อหาของข่าว Fake News ที่มีผู้นำเอามาเผยแพร่เป็นเรื่องที่ นายสยามราช ผ่องสกุล ซึ่งอ้างตัวเองเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้ถือหุ้นของ ปตท. บริษัทโกลบอลกรีนเคมีคอล (GGC) และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ได้แจ้งข้อกล่าวหาไว้กับ DSI ตั้งแต่ปี 2566 โดยกล่าวหาผู้บริหาร ปตท.ต่างๆ นานา
“ข้อมูลความเชื่อมโยงของนายสยามราชกับบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่างๆ ผมเคยนำเสนอเอาไว้หมดแล้ว ผมเชื่อว่าอีกไม่นานจะได้รู้กันว่าขบวนการปั่นข่าวผ่าน “เพจอวตารขยะโซเชียล” เหล่านี้รับงานใครมากันแน่” นายสนธิกล่าว
ส่วน “ไอ้โม่ง” ผู้อยู่เบื้องหลัง และบงการเรื่องราวเหล่านี้ เชื่อว่าตำรวจจะสืบหาตัวไม่ยาก โดยเท่าที่ทราบ ทางบริษัท ปตท. ได้ดำเนินการเข้าแจ้งความต่อตำรวจสอบสวนกลางเรียบร้อยไปแล้ว
“ท่านผู้ชมครับ นายสยามราชเคยยื่นฟ้องผมที่ศาลจังหวัดแม่สะเรียง และหนึ่งในการซักค้านของทนายความผม ถามนายสยามราชว่าจริงๆ แล้วหน้าที่คุณเป็นเหมือน messenger boy ใช่ไหม คือนำเรื่องนำราวไปร้องเรียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ เขาบอก ใช่ ทนายความผมยังถามต่อว่า ทำเรื่องให้เขาร้องเรียนครั้งหนึ่งได้เท่าไร นายสยามราชที่แต่งตัวเท่ ใส่เสื้อนอก อาชีพเดิมเป็นคนขับรถแบ็กโฮอยู่ที่แถวๆ แม่สะเรียง แล้วก็จับพลัดจับผลูสอบนิติศาสตรบัณฑิตได้ที่ มสธ.
“นายสยามราชตอบทนายผมว่า บางครั้งก็ได้ห้าร้อยบาท บางครั้งก็พันบาท สรุปแล้วจากคำให้การนายสยามราชคือมือปืนรับจ้าง ให้จ้างออกหน้า ซึ่งกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังนายสยามราชไม่มีใครกล้าออกหน้าสักคน มิหนำซ้ำยังมาฟ้องผมอีกหลายคดี ซึ่งกำลังสู้คดีต่อในศาล ซึ่งผมไม่ได้กลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะพวกนี้เคยฟ้องสำนักข่าวอิศรามาแล้ว ศาลท่านก็ยกฟ้อง ให้สำนักข่าวอิศราเป็นผู้ชนะ” นายสนธิกล่าว
คำถามที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็คือ งานนี้ก็ต้องดูว่าคนที่ปั่นข่าวแล้วมีผลได้ผลเสีย ก็น่าจะเป็นคนที่จะต้องถูกดำเนินคดี?
ต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมาข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย หรือ “แก๊งสวาปาล์ม” อินโดฯ ที่ก่อความเสียหายให้กับ ปตท.มูลค่ามหาศาลเป็นประวัติการณ์กว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.
กลุ่มขบวนการนี้มีตั้งแต่อดีตนักการเมืองขาใหญ่ ลิ่วล้อนักการเมือง อดีตผู้บริหารปตท.ขาใหญ่ที่พยายามครอบงำองค์กรมานับสิบๆ ปี แม้จะเกษียณอายุไปนานแล้วยังวางฐานอำนาจเข้ามาหาผลประโยชน์ใน ปตท.
บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ยังเกี่ยวข้องกับกรณี คดี “สต๊อกลม” ของ GGC มูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท โดยให้เครือญาติเปิดบริษัทเข้ามาเป็นคู่ค้าของบริษัทลูก ปตท. บางคดียังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวนซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่บางคดีศาลได้มีคำพิพากษาแล้วว่าอดีตผู้บริหารของ GGC และผู้ค้าร่วมกันกระทำความผิดในกรณีดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ บุคคลกลุ่มดังกล่าวยังมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์จากการขายไบโอดีเซลให้กับกลุ่ม ปตท.ในราคาสูงกว่าปกติ
ต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหาร ปตท.จากชุดเดิมมาเป็นชุดปัจจุบัน ก็ได้มีการดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอีก เช่น การปฏิเสธการฮั้วประมูลไบโอดีเซล รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีในกรณี “สต๊อกลม”
สถานการณ์บีบรัดเข้าใกล้คุก ขณะเดียวกันผลประโยชน์ที่เคยได้รับถูกบั่นทอน บุคคลกลุ่มดังกล่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียจึงพยายามทำทุกวิถีทาง “ใต้ดิน-บนดิน” ดำเนินการตอบโต้
หนึ่งในนั้นก็ใช้ “นักร้อง” ใช้ “ทนายความ” เดินเรื่องในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม ปตท.จำนวน 100 หุ้น แม้ว่าจะไม่มีประวัติการลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน เพื่อใช้อ้างว่า “ในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย” จากนั้นได้มีการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ โดยเน้นที่ผู้บริหาร ปตท.ที่มีบทบาทในการดำเนินมาตรการดังกล่าว
สำหรับข้อร้องเรียนที่ยื่นโดยทนายความนักร้องรายนี้ ซึ่งอ้างสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นได้ยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อปตท. ให้ ปตท.ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ ปตท.ได้ ร่วมกับคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในเครือ ปตท.ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัทโกลบอล กรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง
ประเด็นสำคัญจากข่าวปั่นดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ถูกอ้างในเพจอวตารนั้นเป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบันศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษเองก็ยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่ง DSI มีคำแถลงเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
ซึ่งนี่ก็ต้องถามไปยัง “นายสยามราช ผ่องสกุล” ที่ถูกอ้างใน “เฟกนิวส์” ว่ามีส่วนรับรู้กับข่าวปลอมนี้หรือไม่ หรือว่ารับทราบเรื่องจริงเหล่านี้หรือไม่?
“ไม่ต้องรีบร้อน คุณสยามราชใจเย็นๆ อีกไม่นานสอบสวนกลางคงรู้ว่าแอปพลิเคชันและไลน์ที่คุณใช้อยู่นั้น ใครอยู่เบื้องหลัง ถึงตอนนั้นคุณอย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณนะ ถึงตอนนั้นผมรู้เลยว่าเขาต้องการเดินหน้าสุดซอยกับพวกคุณจริงๆ เหมือนเสื้อ "สุดซอย" ที่ผมใส่อยู่ทุกวันนี้” นายสนธิกล่าว