"โจ๊ก สุรเชชษฐ์" หมดทางสู้ใน ก.พ.ค.ตร.แล้ว หลังยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เหลือเพียงประตูเดียวคือยื่นศาลปกครองสูงสุด แต่ในเมื่อมีผลพิจารณาของ 2 องค์กรมาแล้ว ศาลฯ คงไม่ตัดสินเป็นอย่างอื่น และที่ผ่านมาเจ้าตัวไม่เคยสู้ในข้อเท็จจริง เอาแต่โยนความผิดให้ลูกน้อง ให้ถ้อยคำต่อ ก.พ.ค.ตร.ครั้งล่าสุด ก็โยนความผิดทั้งหมดให้ “พ.ต.ท.คริษฐ์” เข้าตำรา “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้เข้าพบคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เพื่อชี้แจงด้วยวาจาปมอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราวที่ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ขณะที่ดำรงแหน่งรักษาราชการแทน ผบ.ตร.
ไม่ว่าผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งเปรียบเสมือนศาลปกครองชั้นต้นในองค์กรตำรวจ จะออกมาอย่างไร ฟังธงเลยว่า เรื่องนี้จะยังไม่จบ เพราะ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็เตรียมที่จะไปสู้ต่อในชั้นศาลปกครองสูงสุด ภายใน 90 วัน ซึ่งในขั้นตอนแรก เขาจะต้องร้องขอในการทุเลาการบังคับผลการพิจารณา ของ ก.พ.ค.ตร. และขอให้คุ้มครองชั่วคราวสถานะการเป็นตำรวจ
ซึ่งเรื่องนี้มีการพิจรณาแล้วว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตาม มาตรา 131 ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2565 เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ไม่ได้มีการวางแผน หรือ กลั่นแกล้ง “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ไม่ให้มาเป็น ผบ.ตร.แต่อย่างใด
สำหรับ การคุ้มครองชั่วคราว พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ของศาลนั้น ศาลปกครองสูงสุดต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดรอบคอบ เนื่องจากว่า มีการพิจารณาจากองค์กรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึง 2 องค์กรแล้ว คือ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เห็นชอบตามข้อวินิจฉัยของอนุกรรมการ ก.ตร. ฝ่ายวินัย ที่มี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นประธาน ว่าการออกคำสั่งของ รักษาการ ผบ.ตร. ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
อีกองค์กรหนึ่งก็คือ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ของ สตช. ตามกฎหมายตำรวจฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น
ทั้งสององค์กรก็ได้มีการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเป็นธรรมอย่างที่สุดแล้ว ดังนั้นถ้าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ต้องย้อนกลับมาทบทวนหลักฐานและเหตุผลให้ดีก่อน ซึ่งถ้าศาลปกครองสูงสุดไม่เชื่อถือคำวินิจฉัยของ ก.ตร. และ ก.พ.ค.ตร. ก็ควรจะแนะนำให้ยุบทั้ง ก.ตร. และ ก.พ.ค.ตร.เสีย
ทั้งนี้การที่ ศาลปกครองจะสั่งคุ้มครองชั่วคราวนั้นอยู่บนหลักการที่ว่า
หนึ่ง เป็นคำสั่งที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งถ้าพิจารณาจากตรงนี้แล้วจะเห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ผ่านกระบวนการขั้นตอนถึง 3 กระบวนการ อนุ ก.ตร., ก.ตร. และคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมฯ
สอง ต้องคุ้มครองสิทธิ์ของผู้ที่ให้ออกจากราชการ เพราะสิทธิ์นั้นจะเป็นสิ่งที่เรียกกลับคืนมาภายหลังมิได้ แต่ทว่าในกรณีสุรเชชษฐ์ หักพาล การกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับมาแล้วในกรณีฟอกเงิน ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปิดเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งเรื่องอยู่ใน ป.ป.ช. อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาที่เรื่องคาอยู่ ป.ป.ช. ก็เพราะมีการช่วยเหลือกัน มิเช่นนั้นเรื่องจะต้องขึ้นสู่ศาลเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จึงไม่มีความชอบธรรมในการเรียกร้องสิทธิ์อันใดต่อไปแล้ว เพราะว่าถ้าหาก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่เป็นข้าราชการตำรวจต่อไป จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนมากกว่า
ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดปัญหา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่เคยคิดที่จะต่อสู้ในข้อเท็จจริง ประเด็นไหนไปไม่รอดก็เพียงอ้างว่า เป็นการกระทำผิดของลูกน้อง ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับเคยประกาศลั่นว่า ถ้าลูกน้องกระทำผิด จะต้องถูกลงโทษหนักเป็น 2 เท่า แต่พอถึงเรื่องของตัวเองกลับโยนขี้ให้ลูกน้อง
ยกตัวอย่างเช่น ในวันอังคารที่ผ่านมา ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไปให้ถ้อยคำกับ ก.พ.ค.ตร. ก็โยนความผิดทั้งหมดไปให้กับ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องมือขวาคู่ใจของตัวเอง
“คุณสุรเชชษฐ์ ถ้าลูกน้องคุณทำผิด โดยที่คุณไม่รู้ แล้วทำไมตอนนี้รู้แล้ว ไม่แจ้งความ ดำเนินคดีกับลูกน้องตัวเอง ทั้ง ๆ ที่คุณโทษเขามาตั้งนานแล้ว ใช่หรือไม่ว่า เพราะคุณหวังแต่ที่จะหลบเลี่ยงข้อเท็จจริง โยนบาปให้ลูกน้อง ไม่ผิดจากวลีที่ว่า “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน” แต่อย่างใด” นายสนธิ กล่าว