จากกรณี นายวรชาติ พุกโฉมงาม อายุ 52 ปี อาชีพนักธุรกิจเครื่องหนัง เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกผู้มีอิทธิพลใน จ.ชุมพร บุกยึดบ้านที่ขายให้แล้ว และเอาสิ่งของมีค่าภายในบ้านออกไปหมด จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบทันที พบว่าเข้าข่ายบุกรุกและลักทรัพย์ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพนักงานสอบสวนกลับถูกเปลี่ยนตัว
นายวรชาติกล่าวว่า ตนทำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2565 ได้มีนายหน้าขายที่ดินติดต่อมาหาบอกว่ามีนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.ชุมพรอยากซื้อที่ดินติดทะเลเกือบ 6 ไร่ของตน ในราคา 10,674,000 บาท แต่จะเอาบ้านติดทะเลมาเทิร์นให้ในราคา 2,500,000 บาท จึงขอดูรูปบ้านและโฉนดเพื่อตรวจสอบว่าติดธนาคารหรือไม่ หลังดูรูปแล้วพบว่าบ้านพร้อมที่ดินไม่ติดธนาคาร ได้ตอบตกลงไปและนัดโอนบ้านในวันที่เขียนสัญญานั้นเลย
พอถึงวันนัดหมายตนพานายหน้าซึ่งเป็นทนายความไปทำสัญญาที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน อ.สวี จ.ชุมพร เพื่อขอให้โอนบ้านตามที่ตกลงกันไว้ ได้พบกับเขาและลูกสาวที่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ตนให้พาไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อโอนบ้านให้เสร็จ แต่ปรากฏว่าทางเขาขอให้โอนในวันที่ 25 ธ.ค. 2565 ซึ่งในวันนั้นจะจ่ายค่าที่ดินที่เหลือทั้งหมด 8,174,000 บาท แต่ตนไม่ยอมเพราะได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะโอนภายในวันนี้ ทางลูกสาวเขาจึงทำสัญญายกบ้านหลังนี้ให้ตน พร้อมระบุจำนวนเงิน 2,500,000 บาท (ได้จ่ายเงินครบถ้วนแล้ว) โดยในสัญญาระบุว่าโอนบ้านในวันที่ 25 ธ.ค. 2565 โดยมีการเซ็นสัญญาทางผู้ซื้อ ผู้ขาย และพยานที่เป็นทนายอย่างถูกต้อง จากนั้นตนจ่ายเงินค่านายหน้าในการซื้อขายบ้านหลังนี้ 75,000 บาท พร้อมจ้างนายหน้าคนดังกล่าวให้หาช่างมารีโนเวตบ้านหลังนี้ใหม่ โดยใช้งบทั้งหมด 1,200,000 บาท
ต่อมาประมาณกลางเดือน ธ.ค. 2565 ทางเขาได้ติดต่อมาบอกเงินไม่พร้อมที่จะโอนค่าที่ดินทั้งหมด จึงขอจ่ายก่อน 500,000 บาท ตนเดินทางไปพบที่ จ.ชุมพร เพื่อถามสาเหตุโดยเขาอ้างว่าธุรกิจส่งออกที่ทำไว้มีปัญหายังไม่ได้เงินตามที่นัดหมาย และเสนอมาว่าวันนี้จะให้เงินตน 500,000 บาทก่อน และในวันที่ 5 ม.ค. 2566 จะจ่ายให้อีก 500,000 บาท จากนั้นวันที่ 31 ม.ค. 2566 จะจ่ายให้อีก 3,000,000 บาท ส่วนที่เหลือทั้งหมดจ่ายภายใน 30 ก.พ. 2566 ตนให้โอกาส แต่ยังคงยึดถือสัญญาเดิมที่ทำไว้จึงยอมตกลง
พอถึงวันที่ 5 ม.ค. 2566 ก็เงียบไม่โอนเงินมาให้ วันที่ 6 ม.ค. 2566 ตนไลน์ไปถามถึงเงิน 500,000 บาท ที่นัดหมายกันไว้อ่านข้อความแล้วไม่ตอบ ให้ทนายโทร.ไปถามได้รับคำตอบว่าขอเลื่อนไปก่อนตอนนี้ไม่มีเงิน หลังทวงถามอยู่หลายเดือนก็ไม่ได้คำตอบวันเวลาที่ชัดเจน พอทวงถามเมื่อไหร่จะโอนบ้านให้อย่างถูกต้อง ได้รับคำตอบว่าบ้านหลังนี้ไม่สามารถโอนได้เนื่องจากติดธนาคารอยู่ ตนแปลกใจมาหลอกตั้งแต่แรกทำไมว่าบ้านไม่ติดธนาคาร สามารถโอนได้และจะไม่ยอมให้บ้านหลังนี้กับตนเด็ดขาด จนรู้แน่ชัดแล้วว่าไม่ซื้อที่ดินของตน วันที่ 14 ส.ค. 2566 ตนเอาป้ายขายที่ดินผืนนี้ไปติดในที่ดินที่จะขายแล้วอีก 2 วันก็ปลดป้ายออกเพื่อกดดันให้เขาหาเงินมาจ่ายส่วนที่เหลือ แต่ปรากฏว่าเขาเอาภาพที่ตนติดป้ายขายที่ดินไปฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับตน 12 ล้านบาท กล่าวหาว่าตนเองผิดสัญญา มิหนำซ้ำทนายที่ตนพาไปทำสัญญาซื้อขายด้วย เปลี่ยนไปเป็นทนายให้เขาแล้วมาฟ้องตน ไม่แน่ใจว่าผิดมารยาททนายความหรือไม่
ต่อมาวันที่ 5-9 ก.ย. 2566 พวกเขาได้พาคนบุกรุกเข้าไปในบ้านที่ในสัญญาระบุว่า ยกให้ตนเองแล้วและนำทรัพย์สินของตนภายในบ้านออกมาทั้งหมด ถอดกล้องวงจรปิดออกทุกตัว รวมถึงเข้ามาจัดงานเลี้ยงฉลองกันในบ้านอีก วันที่ 12 ต.ค. 2566 ตนไปแจ้งความข้อหาบุกรุกไว้ที่ สภ.ปากตะโก จ.ชุมพร ร้อยเวรรับเรื่องและพามาชี้จุดที่เกิดเหตุ พร้อมกับสอบปากคำตนเองเรียบร้อยแล้ว ต่อมาร้อยเวรได้โทรศัพท์บอกว่าถูกเปลี่ยนตัวไม่ให้ทำคดีนี้แล้ว จะให้ร้อยเวรนายใหม่เข้ามาทำคดีแทน พอร้อยเวรคนใหม่เข้ามาทำคดีบอกตนว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา และก็เงียบหายไป
นายวรชาติกล่าวต่อว่า มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่โทร.มาเจรจาขอให้จบเรื่อง บอกจะหาคนมาซื้อที่ดินแทนให้ พยายามจะเปลี่ยนผู้ขัดแย้งกับตน แต่ตนไม่ยอม เพราะตอนที่ตนถูกลูกสาวเขาฟ้อง 12,000,000 บาท เรื่องขึ้นป้ายขายที่ ไม่เห็นมีใครคนไหนมาเคลียร์ให้ มารู้ภายหลังด้วยว่าบ้านหลังนี้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือไปอีกเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2566
ล่าสุดวันนี้ (1 ก.ค.) นายวรชาติเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ซึ่งหลังจากมีข่าวออกไปมีผู้ใหญ่ที่ตนนับถือและคนในวงการธุรกิจทราบข่าวโทร.มาให้กำลังใจพร้อมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ตนมีกำลังใจไม่เกรงกลัวในอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงได้มีทีมทนายความชื่อดังระดับประเทศ 3 คน กำลังดำเนินการเรื่องการยื่นฟ้องร้องต่อศาลในคดีแพ่ง กรณียึดเงินมัดจำบ้านหลังที่เกิดเหตุ และคดีอาญากรณีบุกรุก, ลักทรัพย์, ฉ้อโกง กับกลุ่มบุคคลดังกล่าว