กรุงเทพฯ - ‘กัลเดอร์มา’ (Galderma) ผู้นำนวัตกรรมด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดของโลก สานต่อความมุ่งมั่นขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและธุรกิจคลินิกความงามให้เติบโตอย่างยั่งยืน จัดงานสัมมนาสุดยิ่งใหญ่ “GAIN Business Forum 2024” ดึงกูรูด้านการตลาดและดิจิทัลแถวหน้าของไทยเปิดเวทีอัปเดตเทรนด์ความงาม แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมแชร์กลยุทธ์การตลาด การสร้างแบรนด์ และการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคให้พันธมิตรคลินิกความงามชั้นนำทั่วประเทศ ภายใต้หัวข้อ “Aesthetics Possibilities Shaped Together” เพื่อเสริมพลังความรู้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความท้าทายในยุค Marketing 6.0
ภก.พิรพัฒน์ ศรีวัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการธุรกิจความงามประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากมุมมองและค่านิยมความงามที่เปิดกว้าง ส่งผลให้ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง, ผู้ชาย, LGBTQIA+ ทั้ง Gen Y และ Gen Z หันมาดูแลสุขภาพผิวและความงามกันมากขึ้น โดยให้ความสนใจหัตถการความงามที่ช่วยรักษา ดูแล และเสริมความงามผิวควบคู่กันไป โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจเวชศาสตร์ความงามของไทยในช่วงปี 2565-2573 จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 9.7% ต่อปี* ดังนั้น เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจคลินิกความงามของไทย กัลเดอร์มาจึงจัดงาน GAIN Business Forum 2024 สัมมนาอัปเดตความรู้ด้านการตลาดดิจิทัลและเทรนด์ความงามที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจคลินิกความงาม เพื่อกระตุ้นและผลักดันให้เจ้าของคลินิกและนักการตลาดในธุรกิจนี้ พัฒนาศักยภาพธุรกิจให้พร้อมรับมือกับการแข่งขัน พร้อมก้าวให้ทันเทรนด์ความงาม เทรนด์ตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด และประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ปีนี้ได้ก้าวสู่ยุค Marketing 6.0 อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น การทำการตลาดจะต้องเปลี่ยนไป นักการตลาดต้องเปลี่ยนเลนส์ในการมองให้แตกต่างและหลากหลายขึ้น เพื่อให้เข้าใจมุมมองผู้บริโภคทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในยุคนี้ หันมาทำสิ่งที่ไม่เคยรู้ให้เป็นสิ่งที่รู้ตามแนวคิด Unknown Unknowns พร้อมปรับวิธีและช่องทางสร้างประสบการณ์ให้เหมาะกับผู้บริโภคยุคนี้ เพราะผู้บริโภคยุค 6.0 ยินดีที่จะมีประสบการณ์แบบ Immersive ดื่มด่ำและหลอมรวมประสบการณ์ในโลกจริงและโลกเสมือนไปพร้อมกัน ดังตัวอย่าง ลูกค้าเดินไปดูสินค้าที่หน้าร้าน ทดลองสินค้าด้วย AR/VR โดยไม่ต้องใช้จริง สั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ และชำระเงินหน้าร้าน ซึ่งจะเห็นว่ามีการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานในการสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค ดังนั้น เลนส์ที่นักการตลาดใช้จะต้องแยก 3 สิ่งนี้ให้ออก What’s Real? อะไรจริง อะไรเสมือน, What’s Right? อะไรถูกสำหรับกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม และ What’s Rule? อะไรคือกฎเกณฑ์ที่เหมาะในการใช้”
อัปเดตเทรนด์ความงามแห่งอนาคตและ 5 เครื่องมือที่ช่วยให้ทำการตลาดได้อย่างแตกต่าง
เทรนด์ความงามแห่งอนาคตที่ธุรกิจคลินิกความงามต้องให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 1) Proactive Beauty ความงามที่มุ่งไปข้างหน้า 2) Canceling Age ความงามที่ปราศจากอายุ มีความเป็นกลาง 3) Expressionality ความสวยในแบบที่เป็นตัวเอง 4) Beauty Fandom แฟนดอมความสวย 5) Mindful Aesthetics ความงามแบบพอดี 6) Fast Aesthetics ความงามตามกระแส ซึ่ง 5 เครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจความงามเข้าใจผู้บริโภคและมอบบริการที่ตอบเทรนด์เหล่านี้ได้ ประกอบด้วย
1. IoT: เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยจับพฤติกรรมด้านความงามของผู้บริโภคแต่ละบุคคลในทุกๆ วัน
2. AI: ตัวช่วยที่จะมาวิเคราะห์ดาต้าของผู้บริโภคแต่ละบุคคล รวมถึงกลุ่มแฟนคลับ แฟนดอมต่างๆ พร้อมนำมาช่วยให้คำแนะนำความงามเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
3. 3D Asset: เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างภาพเสมือนจริงให้ผู้บริโภคเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเหมือนจริงก่อนทำหัตถการแต่ละประเภท
4. Blockchain: ตัวช่วยเสริมเรื่องการป้องกันข้อมูลรั่วไหล
5. AR/VR: เครื่องมือในการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ผสมผสานกับโลกความเป็นจริง
“ความเข้าอกเข้าใจ เป็นปัจจัยความสำเร็จในการทำธุรกิจความงามในยุค Marketing 6.0 เราต้องเข้าใจความแตกต่างของลูกค้า เข้าใจเครื่องมือ และใช้เครื่องมือให้เป็น รู้จักเปลี่ยนเลนส์ในการมอง ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ที่จะออกนอกกรอบ และสนุกกับการใช้เครื่องมือเข้ามาเสริมการทำการตลาด” ผศ.ดร.เอกก์สรุปเพิ่มเติม
คุณกัญชลี สำลีรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์การใช้ Digital, Customer Data และ World class Technology
กล่าวว่า “การทำตลาดในยุคดิจิทัลจะต้องมีการวางแผนทางการตลาดที่มีความแตกต่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนได้อย่างตรงจุด โดยกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างความต่างให้ธุรกิจคือ Branding และ Experience ซึ่งกลยุทธ์ที่นำมาใช้สร้าง 2 สิ่งสำคัญนี้ ควรจะเริ่มต้นจากการวางกลยุทธ์สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการโฟกัสกลุ่มเป้าหมายและตลาดให้ชัดเจน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าแบรนด์ของเราจะเจาะไปที่ Mass Market หรือ Niche Market พร้อมหาจุดแข็งของแบรนด์เพื่อนำข้อได้เปรียบในการแข่งขันไปต่อยอดสร้าง Brand Positioning ด้วยกลยุทธ์ 5Ps ได้แก่ Product (สินค้า) Price (ราคา) Place (สถานที่/ช่องทางการจำหน่าย) Promotion (โปรโมชัน) และ People (ผู้คน) จากนั้นนำ Brand Positioning ไปสร้างประสบการณ์ที่เกินความคาดหมายให้กับลูกค้าในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ 1) Awareness สร้างการรับรู้และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ พร้อมกระตุ้นลูกค้าด้วยจุดยืนที่แตกต่าง 2) Booking ทำความรู้จักและเก็บดาต้าของลูกค้า พร้อมนำดาต้าไปแบ่งประเภทลูกค้า เพื่อเลือกเจาะตลาดแต่ละกลุ่มได้ตรงจุด 3) Service ใช้ดาต้ามาสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก โน้มน้าวให้ลูกค้าสนใจใช้บริการ ปิดการขายให้ได้ 4) Loyalty รักษาลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ ซึ่งแต่ละขั้นตอนสามารถนำดาต้ามาวิเคราะห์เพื่อเลือกใช้แพลตฟอร์มในการสื่อสารที่เหมาะกับลูกค้า รวมถึงต้องสร้างประสบการณ์ที่สม่ำเสมอให้กับลูกค้า เพื่อรักษาลูกค้าเดิมไว้กับแบรนด์”
ภายในงานยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดบนโซเชียลแพลตฟอร์มมาร่วมแชร์ความรู้และอัปเดตเครื่องมือทำการตลาด โดยคุณวรัญญา คงดำเนิน LINE Certified Coach 2024 กล่าวว่า “เราพบว่าความท้าทายที่ธุรกิจความงามต้องเผชิญ คือ การแข่งขันสูง ดึงดูดลูกค้าใหม่ยาก รักษาฐานลูกค้าเดิมไม่ได้ และไม่รู้วิธีนำข้อมูลของลูกค้าไปใช้ เราจึงคิดกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าระดับ High Value ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของคลินิกความงาม ด้วย B.E.A.U.T.Y. Framework ประกอบไปด้วย B-Build Target Audience สร้างและแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน, E-Engage สร้างคอนเทนต์ที่เข้าใจลูกค้า พร้อมแก้ปัญหาได้ตรงจุด, A-Acquire สร้างความแตกต่างเพื่อโน้มน้าวใจลูกค้า, U-Upsell ต่อยอดการขาย-ซื้อเพิ่ม-ซื้อซ้ำ, T-Track and Optimize วัดผล-ติดตามผล-ปรับปรุง และ Y-Your Customer เปลี่ยนลูกค้าขาจรเป็นขาประจำ และบอกต่อ โดยนักการตลาดและเจ้าของคลินิกสามารถนำ Framework นี้ไปใช้กับเครื่องมือการตลาดของ LINE เพื่อแก้ปัญหาของแต่ละคลินิกได้อย่างตรงจุด”
คุณพงศ์สุพัชร์ กาญจนาคม Strategic Partnerships Manager จาก TikTok แนะนำว่า “กลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ในไทย 3 อันดับแรก เป็นสายรักสวยรักงาม 34.3 ล้าน, สายใส่ใจสุขภาพ 11.8 ล้าน และสายรักการออกกำลังกาย 6.1 ล้าน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับการดูแลความสวยความงาม จึงเป็นโอกาสที่แบรนด์จะเจาะไปยังผู้บริโภค 3 กลุ่มนี้ โดยใช้การ Tie-in สินค้าไปกับคอนเทนต์ที่น่าสนใจในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์รีวิวจากครีเอเตอร์, คอนเทนต์ให้ความรู้ โชว์ความเชี่ยวชาญ, คอนเทนต์สร้างการบอกต่อ และคอนเทนต์กระตุ้นการทดลองใช้ นอกจากนี้ยังแนะนำเทคนิคดึงดูดลูกค้าด้วย G.R.O.W. Framework ที่ประกอบด้วย G-Generate สร้างคอนเทนต์ให้กลุ่มเป้าหมายมาชมผ่านเครื่องมือต่างๆ, R-Reach เพิ่มการเข้าถึงผ่านการทำงานควบคู่กับครีเอเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับ, O-Optimize สร้างคอนเทนต์ที่ไปหากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการด้วยตัวเราเอง และ W-Win ใช้ดาต้าดูผลลัพธ์เพื่อนำไปปรับการทำคอนเทนต์ หรือช่วงเวลาในการโพสต์ให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีแนวทางแล้วก็นำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
“บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อว่าพันธมิตรคลินิกความงามจะสามารถนำเทรนด์ ความรู้ และเครื่องมือการตลาดต่างๆ ไปเพิ่มศักยภาพการทำการตลาดได้อย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะเดินหน้าส่งเสริมความรู้ทั้งด้านการตลาดและความงาม พร้อมมุ่งยกระดับองค์ความรู้ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้พันธมิตรคลินิกและบุคลากรทางการแพทย์ด้านความงามของไทยเติบโตไปพร้อมกับเราอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เราจะเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมความงามด้วยการผสานเทคโนโลยีและวิทยาการระดับโลกของกัลเดอร์มา เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านความงามที่ตอบทุกเรื่องราวของผิวในแต่ละบุคคลได้อย่างครบถ้วน” ภก.พิรพัฒน์กล่าวปิดท้าย